การทำเพลงในยุคปัจจุบันไม่จำเป็นต้องมีสตูดิโอระดับมืออาชีพหรืออุปกรณ์ที่ซับซ้อน เพียงแค่คุณมีความหลงใหลในเสียงเพลงและมีเครื่องมือพื้นฐาน ก็สามารถสร้างสรรค์เพลงที่มีคุณภาพได้จากบ้านของคุณเอง บทความนี้จะพาคุณไปทำความรู้จักกับการเริ่มต้นทำเพลงแบบ DIY อย่างง่ายๆ ด้วยตัวเอง
การเริ่มต้น
ก่อนที่เราจะลงมือทำเพลง ขั้นตอนแรกคือการเตรียมอุปกรณ์และซอฟต์แวร์ที่จำเป็น การเลือกอุปกรณ์ที่เหมาะสมจะช่วยให้คุณสามารถสร้างเพลงได้อย่างราบรื่นและมีคุณภาพ
การเลือกอุปกรณ์และซอฟต์แวร์
อุปกรณ์พื้นฐาน
1.คอมพิวเตอร์: ควรมีสเปกที่เพียงพอสำหรับการรันซอฟต์แวร์ทำเพลง คอมพิวเตอร์ที่มี RAM 8GB ขึ้นไปและ CPU ที่มีความเร็วสูงจะช่วยให้คุณทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ
- แนะนำ: ควรเลือกคอมพิวเตอร์ที่มี SSD เพื่อให้การบันทึกและเรียกใช้ไฟล์เสียงทำได้รวดเร็วขึ้น
2.หูฟัง: ควรเลือกหูฟังที่มีคุณภาพดี เพื่อให้คุณได้ยินรายละเอียดเสียงได้อย่างชัดเจน หูฟังแบบครอบหูที่มีการตอบสนองความถี่ที่กว้างจะช่วยให้คุณสามารถมิกซ์และมาสเตอร์เพลงได้ดียิ่งขึ้น
- แนะนำ: หูฟังแบรนด์ Audio-Technica, Sennheiser หรือ Beyerdynamic ซึ่งเป็นที่นิยมในวงการดนตรี
3.ไมโครโฟน: สำหรับการบันทึกเสียงร้องหรือเครื่องดนตรี แนะนำให้ใช้ไมโครโฟนคอนเดนเซอร์ เพราะให้คุณภาพเสียงที่ดีกว่าไมโครโฟนแบบไดนามิก ไมโครโฟนคอนเดนเซอร์มีความไวในการจับเสียงสูง ทำให้เสียงที่บันทึกมีความละเอียดและชัดเจน
- แนะนำ: ไมโครโฟน Audio-Technica AT2020 หรือ Rode NT1-A ที่เป็นที่นิยมในกลุ่มผู้ทำเพลง
ซอฟต์แวร์สำหรับการทำเพลง
การเลือกซอฟต์แวร์ทำเพลงเป็นอีกหนึ่งขั้นตอนสำคัญ ซอฟต์แวร์ที่ดีจะช่วยให้คุณสามารถสร้างสรรค์เพลงได้อย่างเต็มที่
1.Ableton Live: เป็นที่นิยมสำหรับการสร้างบีทและการแสดงสด ซอฟต์แวร์นี้มีฟีเจอร์ที่หลากหลาย ทั้งการทำลูป การมิกซ์ และการมาสเตอร์ เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการความยืดหยุ่นและความคิดสร้างสรรค์ในกระบวนการทำเพลง
- จุดเด่น: อินเทอร์เฟซที่ใช้งานง่าย การทำลูปแบบเรียลไทม์ และเครื่องมือในการแสดงสดที่ทรงพลัง
2.FL Studio: เหมาะสำหรับผู้เริ่มต้น มีอินเทอร์เฟซที่ใช้งานง่ายและมีฟีเจอร์ครบครัน ไม่ว่าจะเป็นการทำบีท การมิกซ์ หรือการสร้างเมโลดี้ นอกจากนี้ยังมีซาวด์และปลั๊กอินต่างๆ ที่สามารถใช้งานได้ทันที
- จุดเด่น: อินเทอร์เฟซที่ใช้งานง่าย การสร้างเมโลดี้และบีทที่รวดเร็ว และปลั๊กอินที่หลากหลาย
3.GarageBand: สำหรับผู้ใช้ Mac เป็นตัวเลือกที่ดีเพราะมาพร้อมกับเครื่องดนตรีเสมือนและลูปมากมาย GarageBand มีอินเทอร์เฟซที่ใช้งานง่ายและมีเครื่องมือที่หลากหลาย ทำให้การสร้างเพลงเป็นเรื่องง่ายและสนุก
- จุดเด่น: อินเทอร์เฟซที่เป็นมิตรกับผู้ใช้ มีลูปและซาวด์ที่ให้ใช้งานมากมาย และการรวมเข้ากับระบบปฏิบัติการ Mac อย่างลงตัว
การตั้งค่าอุปกรณ์
1.เชื่อมต่อไมโครโฟนคอนเดนเซอร์กับอินเตอร์เฟซเสียง:
- ตรวจสอบการเชื่อมต่อ: ไมโครโฟนคอนเดนเซอร์มักจะมีการเชื่อมต่อแบบ XLR ดังนั้นคุณต้องใช้สาย XLR เพื่อเชื่อมต่อไมโครโฟนเข้ากับอินเตอร์เฟซเสียง
- เปิดใช้งานพาวเวอร์ (Phantom Power): ไมโครโฟนคอนเดนเซอร์ต้องการพลังงานจาก Phantom Power (48V) ซึ่งสามารถเปิดใช้งานได้จากอินเตอร์เฟซเสียง
2.เลือกอินเตอร์เฟซเสียงที่เหมาะสม:
- Focusrite Scarlett 2i2: อินเตอร์เฟซเสียงยอดนิยมที่มีคุณภาพเสียงที่ดีและใช้งานง่าย
- PreSonus AudioBox: อินเตอร์เฟซเสียงที่มีฟังก์ชันครบครันและเหมาะสำหรับผู้เริ่มต้น
3.การตั้งค่าอินเตอร์เฟซเสียง:
- เชื่อมต่ออินเตอร์เฟซเสียงเข้ากับคอมพิวเตอร์ผ่าน USB
- ติดตั้งไดรเวอร์ที่จำเป็นสำหรับอินเตอร์เฟซเสียงเพื่อให้คอมพิวเตอร์สามารถรับรู้และใช้งานอุปกรณ์ได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ
การตั้งค่าซอฟต์แวร์
เลือกซอฟต์แวร์ทำเพลง:
- Ableton Live: ซอฟต์แวร์ที่ได้รับความนิยมในวงการเพลงและการแสดงสด มีฟังก์ชันหลากหลาย
- FL Studio: ซอฟต์แวร์ที่ใช้งานง่ายและเหมาะสำหรับการทำเพลงในสตูดิโอ
การตั้งค่าในซอฟต์แวร์:
- เปิดซอฟต์แวร์และเข้าสู่การตั้งค่า (Preferences):
- ใน Ableton Live: ไปที่ Options > Preferences
- ใน FL Studio: ไปที่ Options > Audio Settings
- เลือกอินเตอร์เฟซเสียงเป็นอุปกรณ์หลัก:
- ในเมนู Audio Device ให้เลือกอินเตอร์เฟซเสียงที่เชื่อมต่อ
- ตั้งค่า Buffer Size: เลือก Buffer Size ที่เหมาะสมเพื่อให้ได้ความหน่วงเสียงต่ำ (Latency ต่ำ) โดยทั่วไปขนาด Buffer ประมาณ 128-256 samples จะเป็นที่ยอมรับได้
- ตั้งค่า Sample Rate: เลือก Sample Rate ที่ต้องการ โดยทั่วไปค่า 44.1 kHz หรือ 48 kHz จะเพียงพอสำหรับการบันทึกเสียงทั่วไป
- การตรวจสอบการเชื่อมต่อ:
- ทดสอบการบันทึกเสียงเพื่อให้แน่ใจว่าไมโครโฟนและอินเตอร์เฟซเสียงทำงานได้ตามปกติ
การบันทึกเสียง
การเตรียมอุปกรณ์
- ไมโครโฟน: เลือกไมโครโฟนที่เหมาะสมกับเสียงร้องหรือเครื่องดนตรี เช่น ไมโครโฟนคอนเดนเซอร์สำหรับเสียงร้องหรือเครื่องดนตรีอะคูสติก และไมโครโฟนไดนามิกสำหรับการบันทึกเสียงที่มีความดังค่อนข้างมาก
- อุปกรณ์อินเตอร์เฟซ: ใช้อินเตอร์เฟซเสียง (Audio Interface) ที่มีคุณภาพเพื่อเชื่อมต่อไมโครโฟนหรือเครื่องดนตรีเข้ากับคอมพิวเตอร์
- ซอฟต์แวร์บันทึกเสียง: ติดตั้งซอฟต์แวร์ทำเพลง (DAW – Digital Audio Workstation) เช่น Pro Tools, Logic Pro, Ableton Live, FL Studio หรือ GarageBand
- หูฟัง: ใช้หูฟังที่มีคุณภาพสำหรับการฟังเสียงที่บันทึก เพื่อให้ได้ยินรายละเอียดของเสียงอย่างชัดเจน
ขั้นตอนการบันทึกเสียง
1.สร้างแทร็กใหม่:
- เปิดซอฟต์แวร์ทำเพลงของคุณ
- สร้างแทร็กใหม่สำหรับบันทึกเสียงร้องหรือเครื่องดนตรี
- ตัวอย่างใน Pro Tools: คลิกที่ “Track” > “New” > เลือก “Mono Audio Track” (สำหรับเสียงร้องหรือเครื่องดนตรีเดี่ยว) หรือ “Stereo Audio Track” (สำหรับเครื่องดนตรีสเตอริโอ เช่น กลองหรือเปียโน)
2.ตรวจสอบระดับเสียง:
- ตั้งระดับเสียง (Gain) ของไมโครโฟนหรือเครื่องดนตรีโดยใช้อินเตอร์เฟซเสียงหรือมิกเซอร์
- ดูระดับเสียงในซอฟต์แวร์ทำเพลงของคุณ (ดูที่ Meter หรือ Level Indicator) ให้ระดับเสียงอยู่ในช่วงที่ไม่แดง (ไม่เกิดการ Clipping) และไม่ต่ำเกินไป
- ตัวอย่าง: ใน Logic Pro ใช้ฟังก์ชัน Level Meter เพื่อดูระดับเสียง หากไฟแสดงระดับเสียงขึ้นถึงสีแดง ให้ลด Gain ลง
3.เริ่มบันทึก:
- กดปุ่ม Record ในซอฟต์แวร์ทำเพลง แล้วเริ่มร้องเพลงหรือเล่นเครื่องดนตรี
- ตัวอย่างใน Ableton Live: คลิกที่ปุ่ม Record บนแทร็กที่สร้างไว้ จากนั้นคลิกที่ปุ่ม Global Record เพื่อเริ่มบันทึก
- ควรร้องเพลงหรือเล่นเครื่องดนตรีในบรรยากาศที่เงียบและไม่มีเสียงรบกวน
4.ตรวจสอบและแก้ไข:
- ฟังเสียงที่บันทึกแล้วเพื่อหาข้อบกพร่อง เช่น เสียงรบกวน, เสียงคลิป, หรือเสียงที่ไม่ได้คุณภาพ
- ใช้ฟังก์ชันในซอฟต์แวร์ทำเพลงเพื่อแก้ไขเสียง
- ตัวอย่างใน FL Studio: ใช้ฟังก์ชัน EQ เพื่อปรับแต่งความถี่เสียง และ Compressor เพื่อควบคุมระดับเสียงให้อยู่ในช่วงที่เหมาะสม
- หากพบข้อบกพร่องมาก ควรบันทึกใหม่อีกครั้ง
ตัวอย่างการบันทึกเสียงร้องอย่างละเอียด
ขั้นตอนที่ 1: เปิดโปรแกรม Pro Tools แล้วสร้างแทร็กใหม่
- คลิกที่ “Track” > “New”
- เลือก “Mono Audio Track” เพื่อสร้างแทร็กสำหรับบันทึกเสียงร้อง
ขั้นตอนที่ 2: ตั้งระดับเสียงของไมโครโฟน
- ปรับ Gain บนอุปกรณ์อินเตอร์เฟซให้ระดับเสียงอยู่ในช่วงสีเขียว-เหลือง หลีกเลี่ยงไม่ให้ระดับเสียงขึ้นถึงสีแดง (Clipping)
- ตรวจสอบระดับเสียงในโปรแกรม Pro Tools โดยดูที่ Level Meter ในแทร็กที่สร้างขึ้น
ขั้นตอนที่ 3: เริ่มบันทึกเสียงร้อง
- คลิกที่ปุ่ม Record Enable บนแทร็กเพื่อเตรียมบันทึกเสียง
- กดปุ่ม Global Record ที่ด้านบนของหน้าต่าง Pro Tools
- ร้องเพลงตามที่เตรียมไว้ แล้วกดปุ่ม Stop เมื่อร้องเสร็จ
ขั้นตอนที่ 4: ตรวจสอบและแก้ไขเสียงที่บันทึก
- ฟังเสียงที่บันทึกโดยใช้หูฟังคุณภาพสูง
- ใช้ฟังก์ชัน EQ ใน Pro Tools เพื่อปรับแต่งความถี่เสียง เช่น การเพิ่มความชัดเจนของเสียงร้องโดยการเพิ่มความถี่ในช่วง 2-5 kHz
- ใช้ Compressor เพื่อควบคุมระดับเสียง ให้เสียงร้องมีความสมูทและคงที่
- หากพบว่ามีเสียงรบกวนหรือข้อบกพร่อง ให้บันทึกเสียงใหม่ หรือใช้ฟังก์ชัน Cut/Paste เพื่อแก้ไขส่วนที่ไม่ต้องการ
การมิกซ์และมาสเตอร์
หลังจากที่บันทึกเสียงแล้ว การมิกซ์และมาสเตอร์เป็นขั้นตอนสำคัญในกระบวนการผลิตเพลง เพื่อให้เพลงมีความสมดุลและคุณภาพที่ดีมากขึ้น โดยขั้นตอนหลักๆ มีดังนี้:
การมิกซ์ (Mixing)
การมิกซ์เป็นขั้นตอนที่สำคัญในการสร้างเพลงที่มีความสมดุลและเป็นเอกภาพ มีการใช้เทคนิคและเครื่องมือหลายอย่างเพื่อให้ทุกเสียงทำงานร่วมกันอย่างกลมกลืน
1.ปรับระดับเสียง (Volume Balancing):
- หลักการ: การปรับระดับเสียงของแต่ละแทร็กให้อยู่ในระดับที่เหมาะสม โดยทำให้เสียงที่ต้องการให้เด่นชัดขึ้น เช่น เสียงร้อง (Vocals) และเสียงเครื่องดนตรีหลัก ให้ดังชัดเจนในขณะที่เสียงพื้นหลัง เช่น เสียงกีตาร์หรือเครื่องดนตรีรองอยู่ในระดับที่ฟังได้แต่ไม่เด่นเกินไป
- ตัวอย่าง: ในเพลงป๊อป เสียงร้องควรเป็นส่วนที่เด่นที่สุด ดังนั้นอาจปรับระดับเสียงร้องให้ดังขึ้นเพื่อให้ได้ยินชัดเจน ในขณะเดียวกันต้องลดระดับเสียงของกีตาร์หรือเบสลงเพื่อไม่ให้รบกวนเสียงร้อง
2.การใช้ EQ (Equalizer):
- หลักการ: การใช้ EQ เพื่อปรับแต่งความถี่ของแต่ละเสียงเพื่อให้ทุกเสียงมีพื้นที่ของตัวเองในสเปกตรัมความถี่ (Frequency Spectrum) โดยการลดหรือเพิ่มความถี่ที่ต้องการ
- การใช้ Low-cut filter เพื่อตัดความถี่ต่ำที่ไม่ต้องการออกจากเสียงร้อง (เช่น ความถี่ต่ำกว่า 100 Hz) เพื่อป้องกันเสียงเบสที่ไม่ต้องการ
- การเพิ่มความถี่กลาง (Mid frequencies) ในเสียงกีตาร์เพื่อให้ได้ยินได้ชัดเจนขึ้นในช่วงความถี่ที่สำคัญ
- การลดความถี่สูง (High frequencies) ในเสียงฉิ่ง (Cymbals) เพื่อป้องกันไม่ให้เสียงแหลมเกินไป
3.การใช้รีเวิร์บและดีเลย์ (Reverb and Delay):
- การ: การใช้เอฟเฟกต์รีเวิร์บและดีเลย์เพื่อสร้างมิติและความลึกให้กับเสียง ทำให้เสียงดูเหมือนเกิดขึ้นในพื้นที่ที่มีขนาดใหญ่หรือมีการสะท้อนกลับ
ตัวอย่าง:
- การใช้รีเวิร์บในเสียงร้องเพื่อให้เสียงมีความลึกและมีเอฟเฟกต์การสะท้อนเสียงที่คล้ายกับการร้องในห้องโถงใหญ่
- การใช้ดีเลย์ในเสียงกีตาร์เพื่อสร้างเอฟเฟกต์สะท้อนเสียงสั้นๆ ที่ทำให้เสียงดูมีมิติมากขึ้น เช่น การตั้งค่า delay time ให้เสียงสะท้อนกลับมาหลังจากเสียงหลักประมาณ 200 มิลลิวินาที
การมาสเตอร์ (Mastering)
การมาสเตอร์เป็นขั้นตอนสุดท้ายในการผลิตเพลง เพื่อให้เพลงมีคุณภาพสูงสุดและสามารถเล่นได้ดีบนทุกแพลตฟอร์มและอุปกรณ์
1.การคอมเพรส (Compression):
- หลักการ: การใช้คอมเพรสเซอร์เพื่อลดความแตกต่างของระดับเสียง ทำให้เสียงที่เบาดังขึ้นและเสียงที่ดังลดลง ทำให้เพลงมีความดังโดยรวมที่สมดุล
ตัวอย่าง:
- การตั้งค่า Threshold ของคอมเพรสเซอร์เพื่อตั้งค่าความดังที่ต้องการให้คอมเพรสเซอร์เริ่มทำงาน
- การปรับค่า Ratio เพื่อกำหนดอัตราส่วนของการลดความดัง เช่น Ratio 4:1 หมายถึง ทุกๆ 4 dB ที่เกิน Threshold จะลดลงเหลือ 1 dB
- การปรับค่า Attack และ Release เพื่อกำหนดเวลาที่คอมเพรสเซอร์เริ่มทำงานและหยุดทำงาน เพื่อไม่ให้เกิดการตัดเสียงที่ไม่พึงประสงค์<
2.การใช้ลิมิตเตอร์ (Limiter):
- หลักการ: การใช้ลิมิตเตอร์เพื่อป้องกันไม่ให้เสียงแตก (Clipping) และรักษาระดับความดังของเพลงให้อยู่ในระดับที่ต้องการ โดยการกำหนดขีดจำกัดของความดังสูงสุด
ตัวอย่าง:
- การตั้งค่า Threshold ของลิมิตเตอร์เพื่อกำหนดขีดจำกัดความดังสูงสุด เช่น -0.1 dB เพื่อป้องกันไม่ให้เสียงเกินขีดจำกัดและเกิดการแตก
- การใช้ลิมิตเตอร์ในขั้นตอนสุดท้ายของการมาสเตอร์เพื่อทำให้เพลงมีความดังที่สม่ำเสมอและไม่เกิดเสียงแตกเมื่อเล่นบนอุปกรณ์ต่างๆ
การเผยแพร่ผลงาน
การอัปโหลดเพลง
แพลตฟอร์มออนไลน์: การใช้แพลตฟอร์มออนไลน์เป็นวิธีที่มีประสิทธิภาพและเข้าถึงง่ายในการเผยแพร่เพลงของคุณ ตัวอย่างเช่น:
- SoundCloud:เป็นแพลตฟอร์มที่ผู้สร้างเพลงสามารถอัปโหลด แชร์ และโปรโมตเพลงของตนได้อย่างง่ายดาย คุณสามารถเข้าถึงผู้ฟังได้จากทั่วโลก นอกจากนี้ SoundCloud ยังมีฟีเจอร์ที่ช่วยให้ผู้ฟังสามารถแสดงความคิดเห็นหรือกดไลค์เพลงของคุณได้
- YouTube:เป็นอีกหนึ่งแพลตฟอร์มที่นิยมมากสำหรับการเผยแพร่เพลง นอกจากการอัปโหลดเพลงในรูปแบบวีดีโอ คุณยังสามารถสร้างช่องทางที่มีการอัปโหลดคอนเทนต์อย่างต่อเนื่อง ซึ่งจะช่วยสร้างฐานผู้ติดตามได้
- Spotify:เป็นแพลตฟอร์มสตรีมมิ่งที่มีผู้ใช้งานทั่วโลก การอัปโหลดเพลงใน Spotify จะช่วยให้คุณสามารถเข้าถึงกลุ่มผู้ฟังที่ใช้บริการสตรีมมิ่งเพลงแบบพรีเมียมได้
การจัดการลิขสิทธิ์
การจัดการลิขสิทธิ์เพลงของคุณเป็นขั้นตอนสำคัญที่ควรทำก่อนการเผยแพร่เพลง เพื่อป้องกันการละเมิดสิทธิ์และการขโมยผลงาน:
- ตรวจสอบและจัดการลิขสิทธิ์เพลงของคุณผ่านหน่วยงานที่รับรอง เช่น สมาคมนักแต่งเพลงหรือนักดนตรีในประเทศของคุณ
- การลงทะเบียนเพลงของคุณกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องจะช่วยให้คุณมีหลักฐานทางกฎหมายในกรณีที่เกิดข้อพิพาท
การตลาดและการโปรโมต
สื่อสังคมออนไลน์
การใช้สื่อสังคมออนไลน์เป็นเครื่องมือที่มีประสิทธิภาพในการโปรโมตเพลงของคุณ ตัวอย่างเช่น:
- Facebook:คุณสามารถสร้างเพจของคุณเองเพื่อโปรโมตเพลง อัปโหลดเพลงใหม่ แชร์ข่าวสาร และมีการโต้ตอบกับแฟนๆ ได้
- Instagram:การใช้ Instagram ในการโปรโมตเพลงสามารถทำได้โดยการโพสต์รูปภาพและวิดีโอที่เกี่ยวกับเพลงของคุณ ใช้ฟีเจอร์สตอรี่เพื่อแชร์คอนเทนต์ที่เป็นที่น่าสนใจและใช้แฮชแท็กที่เกี่ยวข้องเพื่อเพิ่มการเข้าถึง
- Twitter:ใช้ Twitter ในการแชร์ข่าวสารเกี่ยวกับเพลงของคุณ โต้ตอบกับแฟนๆ และสร้างแคมเปญการโปรโมตที่ดึงดูด
การสร้างแบรนด์ส่วนตัว
การมีแบรนด์ส่วนตัวที่ชัดเจนจะช่วยให้คุณมีผู้ติดตามที่ภักดีและเพิ่มโอกาสในการเผยแพร่ผลงาน ตัวอย่างเช่น:
- การสร้างโลโก้และสไตล์ที่เป็นเอกลักษณ์สำหรับการโปรโมตเพลงของคุณ
- การใช้โซเชียลมีเดียในการสื่อสารกับแฟนๆ อย่างต่อเนื่องและการแชร์เรื่องราวเบื้องหลังการทำงานเพลงของคุณ
- การจัดทำเว็บไซต์ส่วนตัวที่รวบรวมข้อมูลเกี่ยวกับเพลง ประวัติ และข้อมูลการติดต่อของคุณ
ตัวอย่างกรณีศึกษา
กรณีศึกษา: Billie Eilish
Billie Eilish เป็นตัวอย่างที่ดีของศิลปินที่ใช้การเผยแพร่ผลงานและการสร้างแบรนด์ส่วนตัวอย่างมีประสิทธิภาพ:
- การเผยแพร่ผลงาน:Billie Eilish เริ่มต้นจากการอัปโหลดเพลงบน SoundCloud และได้รับความสนใจจากผู้ฟัง จากนั้นเธอได้รับการโปรโมตบน YouTube และ Spotify ซึ่งทำให้เพลงของเธอเป็นที่รู้จักทั่วโลก
- การสร้างแบรนด์ส่วนตัว:Billie Eilish มีสไตล์และลุคที่เป็นเอกลักษณ์ ซึ่งช่วยให้เธอสร้างแบรนด์ส่วนตัวที่ชัดเจนและดึงดูดผู้ติดตามที่ภักดี
การทำเพลงแบบ DIY ที่บ้านไม่เพียงแต่เป็นการแสดงออกถึงความคิดสร้างสรรค์ แต่ยังเป็นการเปิดโอกาสให้คุณได้เรียนรู้และพัฒนาทักษะใหม่ ๆ อีกด้วย ด้วยอุปกรณ์และซอฟต์แวร์ที่เหมาะสม คุณสามารถสร้างเพลงของคุณเองได้อย่างง่ายดายและแบ่งปันกับผู้ฟังทั่วโลกโดยไม่มีข้อจำกัดใด ๆ
อ้างอิง
เว็บไซต์: www.renegadeproducer.com:// DIY Home Studio – Music Production Equipment to Start Making Music.” RenegadeProducer.com.
เว็บไซต์: makingmusic101.com “Making Music from Home: Guides to Home Music Production – Making Music 101.”
เว็บไซต์: output.com “How To Set Up a Home Recording Studio for Beginners.”
เว็บไซต์: www.gear4music.com “How to Build a Home Studio.”
เว็บไซต์: professionalcomposers.com “How to Setup a Home Music Studio (Complete Guide).”
