Share

เทคนิคสร้างสรรค์และทดลอง Art Rock

23/07/2024

แนวเพลง Art Rock เป็นแนวเพลงที่มีการใช้ความสร้างสรรค์และการทดลองในการสร้างสรรค์เพลงอย่างมาก โดยทั่วไปแล้ว Art Rock จะผสมผสานองค์ประกอบจากแนวเพลงอื่นๆ รวมถึงศิลปะและวรรณกรรม เพื่อสร้างสรรค์ผลงานที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัว นี่คือบางเทคนิคที่มักใช้ในเพลงแนว Art Rock

1.การผสมผสานแนวเพลง (Genre Fusion)

การผสมผสานเพลงร็อคกับเพลงคลาสสิก

  • Progressive Rock: แนวเพลงนี้มีการใช้โครงสร้างเพลงที่ซับซ้อนและการบรรเลงเครื่องดนตรีที่มีลักษณะเฉพาะ เช่น การนำเอาเครื่องดนตรีคลาสสิกอย่างไวโอลินหรือเปียโนมาใช้ร่วมกับกีตาร์ไฟฟ้า
  • Symphonic Rock: แนวนี้จะมีการผสมผสานระหว่างวงดนตรีร็อคกับวงออร์เคสตรา ทำให้เกิดเสียงดนตรีที่ยิ่งใหญ่และเต็มไปด้วยพลัง

การผสมผสานเพลงร็อคกับเพลงแจ๊ส

  • Jazz Fusion: แนวนี้จะเน้นการใช้เทคนิคการบรรเลงที่ซับซ้อนและการเปลี่ยนแปลงจังหวะอย่างรวดเร็ว รวมถึงการใช้เครื่องดนตรีเช่น แซกโซโฟนและกลองแจ๊ส
  • Jazz Rock: เป็นการผสมผสานจังหวะของร็อคกับการเล่นแบบแจ๊ส ทำให้ได้เสียงที่ทรงพลังและมีการบรรเลงที่มีอิสระ

การผสมผสานเพลงร็อคกับเพลงอิเล็กทรอนิกส์

  • Electronic Rock: แนวเพลงนี้จะใช้เสียงสังเคราะห์และเครื่องดนตรีอิเล็กทรอนิกส์ร่วมกับการบรรเลงร็อค ทำให้เกิดเสียงที่ทันสมัยและมีความล้ำสมัย
  • Industrial Rock: แนวนี้จะมีการใช้เสียงอิเล็กทรอนิกส์ที่หนักแน่นและเสียงเครื่องจักรผสมผสานกับการบรรเลงร็อค เพื่อสร้างบรรยากาศที่ดุดันและเข้มข้น

2.การใช้เครื่องดนตรีที่หลากหลาย (Instrumentation)

การใช้เครื่องดนตรีที่หลากหลายในการสร้างสรรค์เพลงเป็นหนึ่งในวิธีที่ช่วยเพิ่มมิติและสร้างเอกลักษณ์ให้กับผลงานดนตรี โดยเฉพาะในเพลงร็อคที่ปกติแล้วจะเน้นการใช้กีตาร์ไฟฟ้า เบส และกลอง การนำเครื่องดนตรีที่ไม่ธรรมดาหรือไม่ค่อยพบในเพลงร็อคทั่วไปมาใช้สามารถสร้างเสียงที่แปลกใหม่และน่าสนใจได้

ไวโอลิน (Violin)

การใช้ในเพลงร็อค: ไวโอลินเป็นเครื่องดนตรีที่สามารถสร้างเสียงที่ลึกและเต็มไปด้วยอารมณ์ ทำให้เพลงมีความหลากหลายในด้านความรู้สึก ตั้งแต่ความเศร้า ความหวานซึ้ง ไปจนถึงความรื่นเริง

  • ลักษณะเสียง: เสียงไวโอลินสามารถเป็นทั้งเสียงหลักหรือเสริมในเพลง ทำให้เพลงมีความเป็นเอกลักษณ์มากขึ้น ไวโอลินสามารถสร้างเสียงที่ดุดันและทรงพลังในเพลงร็อค หรืออาจให้เสียงที่เบาและนุ่มนวลเพื่อเพิ่มความละเอียดอ่อน
  • ศิลปินตัวอย่าง: The Electric Light Orchestra (ELO), Kansas

แซกโซโฟน (Saxophone)

การใช้ในเพลงร็อค: แซกโซโฟนเป็นเครื่องดนตรีที่มีเสียงนุ่มนวลและเป็นเอกลักษณ์ สามารถเพิ่มความหลากหลายและสไตล์ให้กับเพลง

  • ลักษณะเสียง: แซกโซโฟนสามารถให้เสียงที่เข้มข้นและอบอุ่น เพิ่มบรรยากาศและทำให้เพลงมีความซับซ้อนมากขึ้น แซกโซโฟนยังสามารถสร้างเสียงที่ดุดันและมีพลัง เหมาะกับเพลงร็อคที่ต้องการความหนักแน่น
  • ศิลปินตัวอย่าง: Pink Floyd, Bruce Springsteen

ฟลูต (Flute)

การใช้ในเพลงร็อค: ฟลูตให้เสียงที่ใสและเบา สามารถเพิ่มความละเอียดอ่อนและเสียงธรรมชาติในเพลง

  • ลักษณะเสียง: ฟลูตสามารถเพิ่มความนุ่มนวลและเสียงที่ลึกซึ้งในเพลง ทำให้เพลงมีความหลากหลายและน่าสนใจ ฟลูตยังสามารถสร้างเสียงที่สดใสและเบา เหมาะกับการสร้างบรรยากาศที่สงบและเงียบสงบ
  • ศิลปินตัวอย่าง: Jethro Tull, Genesis

เครื่องดนตรีจากดนตรีพื้นเมือง (Traditional Instruments)

การใช้ในเพลงร็อค: การนำเครื่องดนตรีพื้นเมืองมาใช้สามารถเพิ่มมิติที่หลากหลายและสร้างความแตกต่างได้ เช่น การใช้ซิทาร์จากอินเดียหรือดิดเจอริดูจากออสเตรเลีย

  • ลักษณะเสียง: เครื่องดนตรีพื้นเมืองสามารถเพิ่มเสียงที่ไม่คุ้นเคยและบรรยากาศที่แปลกใหม่ให้กับเพลง เสียงของเครื่องดนตรีเหล่านี้สามารถสร้างบรรยากาศที่ลึกลับและแปลกใหม่ ทำให้เพลงมีความหลากหลายและน่าสนใจ
  • ศิลปินตัวอย่าง: The Beatles, Peter Gabriel

3.การทดลองในรูปแบบเพลง (Song Structure Experimentation)

เวลานับที่ไม่ปกติ

  • เวลานับที่ไม่ปกติ คือการใช้รูปแบบเวลานับที่ไม่เป็นไปตามจังหวะ 4/4 ซึ่งเป็นจังหวะที่พบได้ทั่วไปในเพลงป๊อปและร็อค เช่น การใช้เวลานับ 5/4, 7/8, หรือ 9/8
  • การใช้เวลานับที่ไม่ปกติ ทำให้เพลงมีจังหวะที่แปลกใหม่และมีการเคลื่อนไหวที่ไม่คาดคิด เสียงดนตรีที่เกิดขึ้นจะมีลักษณะซับซ้อนและไม่ซ้ำซาก ทำให้ผู้ฟังรู้สึกท้าทายและน่าตื่นเต้น
  • ตัวอย่างการใช้เวลานับที่ไม่ปกติในเพลงร็อค: Pink Floyd – “Money” (7/4), Rush – “Tom Sawyer” (7/8 และ 4/4)

การเปลี่ยนแปลงคีย์ (Key Changes)

  • การเปลี่ยนแปลงคีย์ คือการเปลี่ยนโทนของเพลงจากคีย์หนึ่งไปยังอีกคีย์หนึ่งในระหว่างการเล่นเพลง
  • การเปลี่ยนแปลงคีย์ สามารถเพิ่มความตื่นเต้นและความแปลกใหม่ให้กับเพลง ทำให้ผู้ฟังรู้สึกถึงการเปลี่ยนแปลงที่ชัดเจน และสร้างความรู้สึกใหม่ ๆ ในการฟัง
  • ตัวอย่างการเปลี่ยนแปลงคีย์ในเพลงร็อค: The Beatles – “Penny Lane”, Queen – “Bohemian Rhapsody”

การสลับรูปแบบเพลงไปมา (Alternating Song Structures)

  • การสลับรูปแบบเพลง คือการใช้รูปแบบเพลงที่ไม่เป็นไปตามโครงสร้างแบบทั่วไป เช่น โครงสร้างแบบ verse-chorus-verse
  • การใช้รูปแบบเพลงที่ซับซ้อน และมีการเปลี่ยนแปลงหลายรูปแบบทำให้เพลงมีความไม่คาดคิดและน่าติดตาม การเปลี่ยนแปลงรูปแบบเพลงช่วยเพิ่มความหลากหลายและทำให้ผู้ฟังไม่รู้สึกเบื่อ
  • ตัวอย่างการสลับรูปแบบเพลงในเพลงร็อค: Led Zeppelin – “Stairway to Heaven”, Radiohead – “Paranoid Android”

4.การเล่าเรื่องและแนวคิดที่ลึกซึ้ง (Conceptual and Thematic Depth)

แก่นแท้ของ Art Rock คือการถักทอเรื่องราวผ่านบทเพลง ศิลปินมักสร้างสรรค์อัลบั้มที่แต่ละเพลงเป็นดั่งบทในนิยาย เชื่อมร้อยกันด้วยสายใยแห่งแนวคิดเดียวกัน นี่คือ Concept Album ที่ศิลปินใช้เป็นเวทีในการถ่ายทอดเรื่องราวอันซับซ้อนและลึกซึ้ง

ตัวอย่างที่โดดเด่น เช่น “The Wall” ของ Pink Floyd ที่พาเราเดินทางผ่านห้วงอารมณ์อันวุ่นวายของ Pink ตัวละครหลักที่สร้างกำแพงทางใจเพื่อปกป้องตนเอง หรือ “Tommy” ของ The Who ที่เล่าเรื่องราวสุดพิสดารของเด็กชายผู้พิการแต่มีพรสวรรค์พิเศษ

การสร้างสรรค์ผลงานเช่นนี้ไม่ใช่เรื่องง่าย ศิลปินต้องทุ่มเททั้งหัวใจและสมอง ผสานความคิดสร้างสรรค์เข้ากับทักษะทางดนตรีขั้นสูง พวกเขาต้องคิดให้ลึก มองให้กว้าง และสร้างสรรค์อย่างไม่มีขีดจำกัด

เริ่มจากการวางโครงเรื่องที่แข็งแกร่ง สร้างตัวละครที่มีมิติ แล้วค่อยๆ ถ่ายทอดผ่านบทเพลงทีละน้อย แต่ละเพลงเป็นเสมือนชิ้นส่วนปริศนาที่เมื่อประกอบกันแล้ว จะเผยภาพรวมอันน่าทึ่ง

ดนตรีและเนื้อหาต้องเต้นระบำไปด้วยกันอย่างลงตัว เสียงกีตาร์ที่แหลมหวานอาจสื่อถึงความหวัง ในขณะที่เสียงกลองทุ้มต่ำอาจบ่งบอกถึงความมืดมน ทุกโน้ต ทุกคำร้อง ล้วนมีความหมายที่ซ่อนอยู่

และเมื่อทุกอย่างลงตัว ผลลัพธ์ที่ได้คือประสบการณ์ทางดนตรีที่ทรงพลัง ชวนให้ผู้ฟังดำดิ่งลงไปในห้วงความคิด อารมณ์ และจินตนาการ เป็นการเดินทางทางดนตรีที่ไม่เหมือนใคร

Art Rock จึงไม่ใช่แค่เพลง แต่เป็นงานศิลปะที่มีชีวิต เป็นภาพยนตร์ที่ฉายผ่านเสียงเพลง และเป็นนิยายที่เล่าผ่านท่วงทำนอง มันท้าทายให้เราคิด ให้เราฝัน และให้เราสัมผัสถึงอารมณ์ลึกๆ ที่ซ่อนอยู่ในใจ

นี่คือพลังของ Art Rock ที่สามารถพาเราไปสู่ดินแดนแห่งจินตนาการ ผ่านบทเพลงที่มากกว่าเพลง เป็นประสบการณ์ที่จะตราตรึงอยู่ในความทรงจำไปอีกนาน

5.การใช้เสียงเอฟเฟกต์และเทคนิคการบันทึก (Use of Effects and Recording Techniques)

การเล่นกับเสียง: ศิลปะแห่งการสร้างโลกดนตรี

รีเวิร์บ (Reverb): สร้างมิติและบรรยากาศ

  • ทำให้เสียงมีความลึกและกว้าง
  • สร้างความรู้สึกเหมือนอยู่ในพื้นที่จริง เช่น ห้องขนาดใหญ่หรือโบสถ์
  • ตัวอย่าง: เพลง “With or Without You” ของ U2 ที่ใช้รีเวิร์บสร้างความรู้สึกโอ่อ่า

ดีเลย์ (Delay): สร้างความซับซ้อนและจังหวะ

  • ทำให้เกิดเสียงสะท้อนที่เป็นจังหวะ
  • สร้างความรู้สึกของการเคลื่อนไหวหรือการเดินทาง
  • ตัวอย่าง: เพลง “Run Like Hell” ของ Pink Floyd ที่ใช้ดีเลย์สร้างความรู้สึกเหมือนกำลังวิ่งหนี

เสียงโมดูเลชัน (Modulation Effects): เพิ่มความมีชีวิตชีวา

  • คอรัส (Chorus): ทำให้เสียงหนาและกว้างขึ้น
  • เฟลนเจอร์ (Flanger): สร้างเสียงคล้ายเครื่องบิน
  • เฟสเซอร์ (Phaser): ทำให้เสียงมีการเคลื่อนไหวแบบหมุนวน
  • ตัวอย่าง: เพลง “Come As You Are” ของ Nirvana ที่ใช้คอรัสสร้างเสียงกีตาร์ที่หนาและซับซ้อน

การบันทึกในสภาพแวดล้อมที่ไม่ธรรมดา:

  • บันทึกเสียงในสถานที่จริงเพื่อสร้างบรรยากาศเฉพาะ
  • ใช้คุณสมบัติทางเสียงของสถานที่เป็นส่วนหนึ่งของดนตรี
  • ตัวอย่าง: Led Zeppelin บันทึกเสียงกลองในห้องน้ำสำหรับเพลง “When the Levee Breaks”

การบันทึกเสียงแบบอนาล็อก:

  • ให้เสียงที่อบอุ่นและมีความเป็นธรรมชาติ
  • สร้างความรู้สึกมีชีวิตชีวาและความไม่สมบูรณ์แบบที่น่าสนใจ
  • ตัวอย่าง: The Beatles ใช้เทคนิคนี้ในอัลบั้ม “Abbey Road” เพื่อสร้างเสียงที่มีมิติลึก

การผสมผสานเทคนิค:

  • ใช้หลายเทคนิคร่วมกันเพื่อสร้างซาวด์ที่เป็นเอกลักษณ์
  • สร้างประสบการณ์การฟังที่ซับซ้อนและน่าสนใจ
  • ทำให้ผู้ฟังรู้สึกเหมือนอยู่ในโลกของเสียงที่ถูกสร้างขึ้นมาโดยเฉพาะ

การสร้างเรื่องราวผ่านเสียง:

  • ใช้เทคนิคต่างๆ เพื่อสื่อถึงอารมณ์และบรรยากาศของเรื่องราว
  • ทำให้ดนตรีเป็นมากกว่าแค่เสียง แต่เป็นประสบการณ์ที่ครบวงจร
  • สร้างภาพในจินตนาการของผู้ฟังผ่านการจัดวางเสียงอย่างพิถีพิถัน

6.การแสดงสดและการแสดงภาพ (Live Performance and Visual Art)

ศิลปะแห่งการแสดงสด: การผสมผสานแสง สี และภาพเพื่อสร้างประสบการณ์ที่น่าจดจำ

การแสดงดนตรีสดในปัจจุบันไม่ได้จำกัดอยู่เพียงแค่เสียงเพลงอีกต่อไป แต่ได้พัฒนาเป็นประสบการณ์ที่ครอบคลุมประสาทสัมผัสทั้งหมด ด้วยการผสมผสานองค์ประกอบต่างๆ เข้าด้วยกันอย่างลงตัว ไม่ว่าจะเป็นแสง สี ภาพ และการแสดง ทำให้ผู้ชมได้ดื่มด่ำกับโลกแห่งดนตรีอย่างเต็มอิ่ม

1.มนตร์เสน่ห์ของแสงสี: สร้างอารมณ์ผ่านสีสัน

แสงสีเป็นเสมือนจิตรกรที่วาดอารมณ์ลงบนเวที สามารถเปลี่ยนบรรยากาศได้ในพริบตา จากความร้อนแรงของสีแดงไปสู่ความสงบของสีฟ้า การใช้แสงสีอย่างชาญฉลาดไม่เพียงแต่เสริมอารมณ์ของเพลง แต่ยังสามารถพาผู้ชมเข้าสู่โลกแห่งจินตนาการได้อย่างไร้ขีดจำกัด

ตัวอย่างที่โดดเด่น: Pink Floyd กับการแสดงที่ใช้แสงสีและเลเซอร์สร้างภาพลวงตา ทำให้ผู้ชมรู้สึกเสมือนล่องลอยอยู่ในห้วงอวกาศแห่งดนตรี

2.ภาพเล่าเรื่อง: การใช้ภาพวาดและโปรเจคชั่นเพิ่มมิติให้กับเสียงเพลง

ในยุคที่เทคโนโลยีก้าวหน้า การฉายภาพบนเวทีได้กลายเป็นส่วนสำคัญของการแสดงสด ภาพเคลื่อนไหวที่สอดคล้องกับจังหวะและเนื้อหาของเพลงช่วยเล่าเรื่องราวและเพิ่มความลึกซึ้งให้กับบทเพลง ทำให้ผู้ชมเข้าถึงความหมายของเพลงได้มากขึ้น

ตัวอย่างที่น่าทึ่ง: Tool กับการใช้ภาพกราฟิกที่ซับซ้อนและลึกลับ สร้างบรรยากาศที่ชวนให้ตีความและครุ่นคิดตาม

3.ละครบนเวทีคอนเสิร์ต: การแสดงประกอบที่เติมเต็มอารมณ์

การแสดงประกอบไม่ใช่แค่การเต้นหรือเคลื่อนไหวธรรมดา แต่เป็นการถ่ายทอดอารมณ์และความหมายของเพลงผ่านร่างกาย ท่าทาง และการเคลื่อนไหวที่ได้รับการออกแบบมาอย่างพิถีพิถัน ช่วยให้ผู้ชมรู้สึกเชื่อมโยงกับศิลปินและเพลงมากขึ้น

ตัวอย่างที่น่าประทับใจ: David Bowie กับการแสดงที่เต็มไปด้วยการเล่าเรื่องผ่านการแต่งกายและการแสดงที่เปลี่ยนไปตามแต่ละอัลบั้ม สร้างตัวละครและโลกใหม่ในทุกการแสดง

4.โลกใบใหม่บนเวที: การออกแบบเวทีที่สร้างสรรค์

เวทีไม่ใช่แค่พื้นที่สำหรับยืนร้องเพลงอีกต่อไป แต่เป็นโลกขนาดย่อมที่สามารถเปลี่ยนแปลงได้ตามแต่ละเพลง การออกแบบเวทีที่สร้างสรรค์ช่วยให้ผู้ชมรู้สึกเหมือนได้เดินทางไปยังสถานที่ต่างๆ ผ่านดนตรี

ตัวอย่างที่ตราตรึงใจ: Beyoncé กับเวทีที่เปลี่ยนแปลงได้อย่างน่าทึ่ง จากความหรูหราของพระราชวังไปสู่ความดิบของถนนในเมือง สะท้อนความหลากหลายในผลงานของเธอ

7.การทำงานร่วมกับศิลปินแขนงอื่น (Collaboration with Other Artists)

การประสานศิลปะ: เมื่อดนตรีพบกับแขนงศิลปะอื่น

ในโลกของศิลปะ การผสมผสานระหว่างแขนงต่างๆ ไม่เพียงแต่สร้างสรรค์ผลงานที่แปลกใหม่ แต่ยังเปิดมิติใหม่แห่งการแสดงออกทางศิลปะ การทำงานร่วมกันระหว่างนักดนตรีและศิลปินแขนงอื่นๆ จึงเป็นเสมือนการปลดล็อกพลังสร้างสรรค์ที่ไร้ขีดจำกัด

1.จิตรกรรมบนเสียงเพลง: การผสานงานจิตรกรรมกับดนตรี

เมื่อสีสันของภาพวาดมาบรรจบกับท่วงทำนอง ผลลัพธ์ที่ได้คือประสบการณ์ทางศิลปะที่ครบเครื่อง ไม่ว่าจะเป็นปกอัลบั้มที่กลายเป็นไอคอนทางวัฒนธรรม หรือการแสดงสดที่มีภาพวาดเคลื่อนไหวประกอบ ล้วนสร้างมิติใหม่ให้กับการรับรู้ดนตรี

ตัวอย่างที่โดดเด่น: ปกอัลบั้ม “Dark Side of the Moon” ของ Pink Floyd ที่ออกแบบโดย Storm Thorgerson ไม่เพียงแต่สะท้อนเนื้อหาของอัลบั้ม แต่ยังกลายเป็นสัญลักษณ์ทางวัฒนธรรมที่จดจำได้ทั่วโลก

2.บทกวีแห่งเสียงดนตรี: การผนวกวรรณกรรมเข้ากับเพลง

เมื่อปากกาของนักเขียนมาเต้นรำกับโน้ตดนตรี เกิดเป็นเนื้อเพลงที่ลึกซึ้งและเรื่องราวที่ซับซ้อน การทำงานร่วมกันระหว่างนักดนตรีและนักเขียนไม่เพียงสร้างเพลงที่ไพเราะ แต่ยังสร้างงานศิลปะที่กระตุ้นความคิดและจินตนาการ

ตัวอย่างที่น่าประทับใจ: การร่วมงานระหว่าง Elton John และ Bernie Taupin ที่สร้างสรรค์เพลงฮิตมากมาย โดย Taupin เขียนเนื้อเพลงที่ลึกซึ้งและ John แต่งทำนองที่ไพเราะ ผสานเป็นบทเพลงที่ตราตรึงใจผู้ฟัง

3.ท่วงท่าแห่งเสียงเพลง: การเชื่อมโยงการเต้นรำกับดนตรี

เมื่อร่างกายเคลื่อนไหวตามจังหวะดนตรี เกิดเป็นภาษาที่ไร้คำพูดแต่เต็มไปด้วยความหมาย การผสมผสานระหว่างดนตรีและการเต้นรำไม่เพียงสร้างความบันเทิง แต่ยังสื่อสารอารมณ์และเรื่องราวได้อย่างมีพลัง

ตัวอย่างที่น่าตื่นตาตื่นใจ: การแสดงของ Michael Jackson ที่นำการเต้นรำมาเป็นส่วนสำคัญในการสื่อสารเรื่องราวและอารมณ์ของเพลง สร้างปรากฏการณ์ทางดนตรีและวัฒนธรรมที่ยังคงมีอิทธิพลถึงปัจจุบัน

4.ภาพยนตร์แห่งเสียงเพลง: การหลอมรวมดนตรีกับภาพเคลื่อนไหว

เมื่อเสียงดนตรีมาบรรจบกับภาพเคลื่อนไหว เกิดเป็นประสบการณ์ทางศิลปะที่ครบครัน มิวสิกวิดีโอที่มีคุณภาพระดับภาพยนตร์หรือภาพยนตร์ที่สร้างขึ้นเพื่อเพลงโดยเฉพาะ ล้วนเปิดมิติใหม่ในการรับชมและรับฟังดนตรี

ตัวอย่างที่น่าทึ่ง: ภาพยนตร์ “The Wall” ของ Pink Floyd ที่นำเสนอเรื่องราวผ่านการผสมผสานระหว่างดนตรีและภาพยนตร์อย่างลงตัว สร้างประสบการณ์ที่ลึกซึ้งและน่าจดจำ

อ้างอิง

  • เว็บไซต์: underground-england.com://ROCK’S MOST EXPERIMENTAL SUBGENRE: A BRIEF HISTORY OF ART ROCK
  • เว็บไซต์: www.udiscovermusic.com:// “What Is Art Rock? A History Of Music’s Most Progressive Minds.”
  • เว็บไซต์: median.newmediacaucus.org:// “On the Role of Experimentation in Art (and Science).”
  • เว็บไซต์: proactivecreative.com:// “Artistic Identity: The Role of Experimentation.”
  • เว็บไซต์: underground-england.com:// “Rock’s Most Experimental Subgenre: A Brief History of Art Rock.”