ดนตรีประกอบในภาพยนตร์มีบทบาทที่หลากหลายและสำคัญมากในการเสริมสร้างประสบการณ์การรับชมภาพยนตร์ให้กับผู้ชม โดยสามารถสรุปเพิ่มเติมได้ดังนี้
1.สร้างบรรยากาศและอารมณ์
ดนตรีประกอบในภาพยนตร์หรือซีรีส์มีบทบาทสำคัญในการสร้างบรรยากาศและเสริมสร้างอารมณ์ในแต่ละฉาก มันเหมือนกับการเพิ่มสีสันให้กับเรื่องราวที่กำลังเล่าอยู่ ลองจินตนาการว่าคุณกำลังดูฉากแอ็คชั่นที่เต็มไปด้วยการไล่ล่าและการต่อสู้ ถ้าไม่มีดนตรีประกอบ ฉากนั้นอาจดูแห้งและขาดความตื่นเต้น แต่เมื่อเพิ่มดนตรีที่มีจังหวะเร้าใจเข้าไป มันจะทำให้หัวใจคุณเต้นแรงและทำให้คุณรู้สึกว่าคุณอยู่ในฉากนั้นด้วยจริง ๆ
นอกจากนี้ ในฉากโรแมนติก ดนตรีที่มีทำนองนุ่มนวลและอ่อนโยนจะช่วยทำให้ความรู้สึกของความรักและความอ่อนหวานชัดเจนยิ่งขึ้น มันจะทำให้ผู้ชมรู้สึกอบอุ่นและประทับใจกับความสัมพันธ์ของตัวละคร
ดังนั้น ไม่ว่าคุณจะเป็นคนที่ชอบฉากแอ็คชั่นที่เต็มไปด้วยการผจญภัย หรือฉากโรแมนติกที่หวานซึ้ง ดนตรีประกอบจะทำให้คุณรู้สึกมีส่วนร่วมและตื่นเต้นไปกับเรื่องราวนั้น ๆ ในแบบที่ไม่เคยมีมาก่อน
ตัวอย่างฉากแอ็คชั่น
ลองนึกถึงภาพยนตร์อย่าง “Mad Max: Fury Road” ที่เต็มไปด้วยฉากการไล่ล่าและการต่อสู้ เมื่อดนตรีประกอบที่มีจังหวะเร็วและเข้มข้นถูกใส่เข้าไป มันจะทำให้คุณรู้สึกตื่นเต้นและมีพลัง เหมือนกับว่าคุณอยู่บนรถไล่ล่ากลางทะเลทรายด้วยตัวเอง
ตัวอย่างฉากโรแมนติก
ในทางตรงกันข้าม ลองคิดถึงฉากในภาพยนตร์โรแมนติกอย่าง “La La Land” ในฉากที่ตัวละครสองคนกำลังเต้นรำใต้แสงดาว ดนตรีประกอบที่มีทำนองนุ่มนวลและเพราะพริ้งจะช่วยเสริมสร้างความโรแมนติก ทำให้ผู้ชมรู้สึกอบอุ่นและหลงรักความสัมพันธ์ของตัวละคร
2.บอกเล่าเรื่องราวและสื่ออารมณ์ของตัวละคร
ดนตรีประกอบในภาพยนตร์เป็นมากกว่าแค่เสียงเพลงที่เล่นในพื้นหลัง มันเป็นเครื่องมือสำคัญที่สามารถสร้างอารมณ์และความรู้สึกที่ลึกซึ้ง ทำให้ผู้ชมเชื่อมโยงกับตัวละครและเรื่องราวได้อย่างแนบเนียน มาดูกันว่าดนตรีประกอบทำให้ภาพยนตร์น่าติดตามมากขึ้นอย่างไรบ้าง
สร้างบรรยากาศและอารมณ์
ดนตรีสามารถสร้างบรรยากาศที่เหมาะสมให้กับฉากต่างๆ ในภาพยนตร์ เช่น เสียงลมพัดที่แผ่วเบาในฉากทะเล เสียงฝนตกในฉากเศร้า หรือเสียงเพลงที่มีจังหวะเร็วๆ ในฉากไล่ล่า ทำให้ผู้ชมรู้สึกเหมือนตนเองอยู่ในสถานที่นั้นจริงๆ ลองจินตนาการว่าคุณกำลังดูหนังผจญภัยในป่า แต่ไม่มีเสียงนกร้องหรือเสียงลมพัด จะรู้สึกขาดอะไรไปบ้างไหมล่ะ?
เพิ่มความเข้าใจและความรู้สึกร่วม
ดนตรีที่เหมาะสมสามารถทำให้ผู้ชมเข้าใจและรู้สึกถึงอารมณ์ของตัวละครได้อย่างลึกซึ้ง เช่น ในฉากที่ตัวละครเศร้า ดนตรีที่มีทำนองช้าๆ และเสียงที่แฝงความโศกเศร้าจะทำให้ผู้ชมรู้สึกเศร้าตามตัวละคร หรือในฉากที่ตัวละครได้รับชัยชนะ ดนตรีที่มีจังหวะปลุกเร้าก็จะทำให้ผู้ชมรู้สึกตื่นเต้นและมีความสุขไปกับตัวละคร
ช่วยให้เปลี่ยนผ่านอารมณ์อย่างราบรื่น
ดนตรีประกอบยังช่วยในการเปลี่ยนผ่านอารมณ์ในฉากที่ขัดแย้งกันได้อย่างราบรื่น ลองนึกภาพว่าคุณกำลังดูฉากเศร้าสุดๆ แล้วต้องเปลี่ยนไปเป็นฉากตลกทันที หากไม่มีดนตรีที่ช่วยเปลี่ยนผ่าน ผู้ชมอาจรู้สึกอึดอัด แต่ด้วยดนตรีที่เหมาะสม การเปลี่ยนผ่านนี้จะเป็นไปอย่างแนบเนียน ทำให้ผู้ชมสามารถติดตามเรื่องราวได้อย่างต่อเนื่อง
สร้างปฏิสัมพันธ์ทางอารมณ์
ดนตรีที่ผู้ชมคุ้นเคยหรือมีความทรงจำร่วมสามารถพาผู้ชมกลับไปยังอดีตและสร้างปฏิสัมพันธ์ทางอารมณ์ได้ดี เช่น เพลงที่เคยฟังในวัยเด็ก เมื่อได้ยินอีกครั้งก็ทำให้รู้สึกถึงบรรยากาศและช่วงเวลาที่พวกเขาเคยประสบพบเจอมา ดนตรีที่มีความทรงจำร่วมสามารถทำให้ผู้ชมรู้สึกอบอุ่นและเชื่อมโยงกับตัวละครและเรื่องราวในภาพยนตร์ได้ดียิ่งขึ้น
ความสำคัญของดนตรีประกอบ
ดนตรีประกอบจึงเป็นส่วนสำคัญที่ทำให้ภาพยนตร์มีความสมบูรณ์และน่าติดตาม มันไม่ใช่แค่การเติมเต็มเสียงว่างในฉาก แต่เป็นเครื่องมือที่สามารถสื่อสารอารมณ์ ความรู้สึก และเรื่องราวของตัวละครได้อย่างลึกซึ้ง ดนตรีประกอบทำให้ผู้ชมมีประสบการณ์การชมภาพยนตร์ที่เต็มอิ่มและน่าจดจำ
3.เสริมสร้างจินตนาการ
ลองนึกภาพคุณกำลังดูหนังแอ็คชั่นสุดมันส์ ฉากที่ตัวละครหลักกำลังวิ่งหนีจากศัตรู ดนตรีประกอบไม่มีเนื้อร้องเริ่มขึ้น เสียงกลองหนักหน่วงและเสียงเครื่องดนตรีต่างๆ ที่เร็วและตื่นเต้น ทำให้คุณรู้สึกเหมือนว่าคุณเองก็วิ่งอยู่ด้วย อาจจะมีเสียงบีทติ๊บๆ ที่ทำให้หัวใจคุณเต้นรัวเป็นจังหวะเดียวกับดนตรี
คราวนี้ลองนึกถึงฉากในภาพยนตร์รักโรแมนติก ตัวละครหลักทั้งสองพบกันครั้งแรก ดนตรีประกอบเบาๆ นุ่มนวลเริ่มบรรเลง เสียงเปียโนหวานๆ และเสียงไวโอลินที่ลื่นไหลทำให้คุณรู้สึกเหมือนคุณเองก็กำลังตกหลุมรักไปด้วย ความรู้สึกของคุณถูกนำพาไปกับดนตรี คุณสามารถจินตนาการถึงบรรยากาศรอบตัว ลมพัดเบาๆ ดอกไม้บานสวยงาม ทั้งหมดนี้เกิดขึ้นได้เพราะดนตรีที่ไม่มีเนื้อร้องช่วยพาคุณเข้าสู่โลกแห่งจินตนาการ
ลองเปลี่ยนมาที่ฉากผจญภัยในป่า ตัวละครหลักเดินลึกเข้าไปในป่าทึบ ดนตรีประกอบเริ่มบรรเลงด้วยเสียงฟลูตและเครื่องดนตรีชนิดต่างๆ ที่ให้ความรู้สึกเหมือนกำลังเดินอยู่ในป่าจริงๆ คุณอาจจะจินตนาการถึงเสียงนกร้อง ต้นไม้ลู่ตามลม และแสงอาทิตย์ที่ลอดผ่านใบไม้ ทั้งหมดนี้เกิดขึ้นเพราะดนตรีที่ไม่มีเนื้อร้องช่วยสร้างบรรยากาศและพาคุณเข้าสู่เรื่องราว
ดนตรีประกอบไม่มีเนื้อร้องไม่เพียงแค่ช่วยเสริมบรรยากาศ แต่ยังทำให้คุณสามารถตีความหมายของฉากต่างๆ ได้ตามความรู้สึกของคุณเอง คุณสามารถสร้างเรื่องราวในหัวของคุณโดยไม่ต้องถูกจำกัดด้วยเนื้อเพลง นี่แหละที่ทำให้ประสบการณ์การดูภาพยนตร์ของคุณมีความเป็นส่วนตัวและน่าจดจำมากยิ่งขึ้น
ตัวอย่าง 1: ภาพยนตร์สยองขวัญ
คุณกำลังดูภาพยนตร์สยองขวัญ ฉากที่ตัวละครกำลังเดินสำรวจบ้านร้าง ดนตรีประกอบเริ่มด้วยเสียงเบาๆ ที่แผ่วๆ คล้ายเสียงลมพัด ผ่านไปไม่กี่วินาที เสียงบรรเลงเบาๆ ของเครื่องสายเริ่มเข้ามา ทำให้คุณรู้สึกหวาดกลัวและกังวล คุณจินตนาการถึงเงามืดที่กำลังเคลื่อนไหวในมุมห้อง เสียงกีตาร์เบสที่ต่ำและหนักเพิ่มความตึงเครียดให้กับฉาก ทุกครั้งที่เสียงดนตรีเปลี่ยน คุณก็รู้สึกเหมือนจะมีอะไรบางอย่างโผล่ออกมา นี่แหละที่ทำให้คุณตื่นเต้นและรู้สึกกลัวได้แบบสุดๆ
ตัวอย่าง 2: ภาพยนตร์แอนิเมชัน
ลองนึกถึงภาพยนตร์แอนิเมชันที่มีการผจญภัยในดินแดนแฟนตาซี ฉากที่ตัวละครกำลังบินบนหลังมังกรผ่านทุ่งดอกไม้และภูเขาสูง ดนตรีประกอบเต็มไปด้วยเสียงฮาร์ปและฟลูตที่สดใส เสียงดนตรีที่เบิกบานและสนุกสนาน ทำให้คุณรู้สึกเหมือนคุณกำลังบินอยู่ด้วย ความรู้สึกอิสระและความสุขที่ไม่มีที่สิ้นสุด คุณอาจจะจินตนาการถึงการบินผ่านรุ้งกินน้ำและเห็นโลกทั้งใบจากมุมสูง ทุกโน้ตของดนตรีเสริมสร้างภาพในหัวของคุณให้มีสีสันและชีวิตชีวา
4.ธีมเพลง
ธีมเพลงของภาพยนตร์เหมือนกับตัวละครพิเศษที่ช่วยให้หนังมีชีวิตชีวาและน่าจดจำมากขึ้น คิดว่ามันเป็นเพลงที่มาพร้อมกับความรู้สึกและบรรยากาศของเรื่องราวในหนัง เพลงนี้จะบอกให้คุณรู้ว่าหนังจะพาคุณไปในทิศทางไหนและทำให้คุณรู้สึกตามไปกับเรื่องราว
ลองนึกภาพว่าคุณกำลังดูหนังและเพลงหลักเริ่มเล่นขึ้น หากหนังเป็นเรื่องรัก เพลงที่ได้ยินอาจจะเป็นเพลงหวานๆ ที่ทำให้คุณรู้สึกถึงความรักที่เต็มเปี่ยมในใจของตัวละคร ถ้าเป็นหนังแอ็กชัน เพลงอาจจะมีจังหวะเร็วและเร้าใจ ซึ่งช่วยเพิ่มความตื่นเต้นให้กับฉากแอ็กชัน
ธีมเพลงยังช่วยสร้างบรรยากาศให้กับหนัง อย่างเพลงที่มีทำนองช้าจะทำให้ฉากที่เป็นอารมณ์ดูเศร้าหรือซึ้งมากขึ้น ขณะที่เพลงที่เร็วและมีพลังจะเพิ่มความตื่นเต้นให้กับฉากที่ต้องการพลังงาน
นอกจากนี้ ธีมเพลงที่ดีมักจะมีทำนองที่ติดหู เมื่อเพลงนั้นเปิดขึ้นอีกครั้ง คุณอาจจะนึกถึงฉากหรืออารมณ์ของหนังได้ทันที เพลงที่ติดหูมักจะทำให้หนังเป็นที่จดจำได้ง่าย
ยกตัวอย่าง
“My Heart Will Go On” โดย Celine Dion จาก Titanic (1997)
รายละเอียด: เพลงนี้เปิดตัวพร้อมกับภาพยนตร์ Titanic และกลายเป็นสัญลักษณ์ของความรักที่ไม่มีวันตายของคู่รักในหนัง การเลือกเพลงนี้เป็นธีมหลักช่วยเสริมความรู้สึกของการรักที่ยิ่งใหญ่และไม่รู้จบ เพลงมีทำนองหวานและซึ้ง ทำให้ผู้ฟังรู้สึกถึงความโรแมนติกและความเศร้าในช่วงเวลาสุดท้ายของภาพยนตร์
ผลกระทบ: เมื่อเพลงนี้เริ่มเล่น คุณจะรู้สึกถึงความรักและการเสียสละของตัวละครหลัก เจมส์ คาเมรอน ผู้กำกับหนัง ได้เลือกเพลงนี้เพื่อทำให้ฉากสุดท้ายของหนังมีความเข้มข้นและมีความรู้สึกที่ยิ่งใหญ่ เพลงนี้ช่วยให้ผู้ชมรู้สึกถึงความเศร้าและความสุขในเวลาเดียวกัน และกลายเป็นเพลงที่จดจำได้ง่าย
“The Circle of Life” โดย Elton John จาก The Lion King (1994)
รายละเอียด: เพลงนี้เปิดเรื่อง The Lion King ด้วยบรรยากาศที่เต็มไปด้วยความยิ่งใหญ่และการเริ่มต้นชีวิตใหม่ ทำนองเพลงที่เต็มไปด้วยพลังและเสียงร้องของ Elton John สร้างความรู้สึกถึงการเกิดใหม่และวงจรชีวิตที่ไม่มีที่สิ้นสุด เพลงนี้ไม่เพียงแต่เปิดเรื่องราวของราชาสิงโต แต่ยังสะท้อนถึงธีมหลักของการเติบโตและการเรียนรู้
ผลกระทบ: เพลงนี้ช่วยให้ผู้ชมรู้สึกถึงความสำคัญของการเริ่มต้นใหม่และการเติบโตของตัวละครหลัก ซีนที่มีเพลงนี้เล่นอยู่ทำให้ผู้ชมได้สัมผัสถึงความยิ่งใหญ่และความสวยงามของธรรมชาติ เพลงนี้ยังสร้างบรรยากาศที่ทำให้หนังมีความรู้สึกมหัศจรรย์และเต็มไปด้วยความหวัง
5.การเชื่อมโยงและการเปลี่ยนแปลงอารมณ์
ดนตรีประกอบในภาพยนตร์นั้นทำงานเหมือนกับการทำงานของเวทย์มนตร์ที่คอยเชื่อมโยงฉากและเปลี่ยนแปลงอารมณ์ให้ผู้ชมได้สัมผัสอย่างลึกซึ้ง ลองนึกภาพว่าในฉากหนึ่ง คุณอาจจะเห็นตัวละครกำลังเฉลิมฉลองอย่างสนุกสนาน ดนตรีที่เต็มไปด้วยจังหวะเร้าใจและเสียงเพลงที่สนุกสนานทำให้คุณรู้สึกตื่นเต้นและเข้าร่วมปาร์ตี้ไปกับพวกเขา แต่ทันใดนั้น การเล่าเรื่องก็เปลี่ยนไปที่ฉากที่เศร้าและสงบลง ดนตรีก็เปลี่ยนไปอย่างเนียนๆ ด้วยเสียงที่ค่อยๆ ลดลงและทำนองที่เงียบสงบ ทำให้การเปลี่ยนแปลงนี้รู้สึกเป็นธรรมชาติและไม่กระโดดไปมาจนทำให้คุณรู้สึกว่า “โอ้ นี่คืออีกโลกหนึ่งที่เราเข้าไปแล้ว”
ดนตรียังช่วยให้การเปลี่ยนแปลงอารมณ์ในภาพยนตร์เป็นไปอย่างราบรื่น เมื่อฉากหนึ่งจบลงด้วยความสนุกสนานและฉากถัดไปเริ่มต้นด้วยความเครียด ดนตรีที่ค่อยๆ เพิ่มความตึงเครียดและความรู้สึกของความวิตกกังวล ทำให้คุณรู้สึกเหมือนพร้อมรับการเปลี่ยนแปลงนี้ และไม่รู้สึกว่าการเปลี่ยนแปลงนั้นทำให้รู้สึกไม่เชื่อมโยง
นอกจากนี้ ดนตรียังสามารถสร้างความเชื่อมโยงระหว่างฉากต่างๆ ได้ดี เช่น ธีมดนตรีที่มีลักษณะเฉพาะสำหรับตัวละครหรือสถานการณ์หนึ่งๆ อาจจะปรากฏในหลายฉาก เพื่อให้ผู้ชมรู้สึกว่ามีความต่อเนื่องและเชื่อมโยงกับตัวละครไม่ว่าจะอยู่ในสถานการณ์ไหน
ดนตรีทำให้การเล่าเรื่องเป็นไปอย่างสมูธ ไม่สะดุด ดูเหมือนทุกอย่างไหลไปอย่างเป็นธรรมชาติ ทำให้คุณรู้สึกเหมือนว่าได้เดินทางไปกับเรื่องราวนั้นจริงๆ โดยที่ไม่รู้สึกว่ามีการข้ามขั้นตอนหรือเปลี่ยนแปลงอารมณ์ที่ไม่เป็นธรรมชาติ
ดังนั้น ดนตรีประกอบในภาพยนตร์ไม่ใช่แค่การเพิ่มเสียงในพื้นหลัง แต่มันเป็นเครื่องมือที่มีพลังในการทำให้เรื่องราวมีชีวิตชีวา เชื่อมโยงฉากต่างๆ และเปลี่ยนแปลงอารมณ์ของผู้ชมได้อย่างมีเสน่ห์และมีประสิทธิภาพ ทำให้คุณรู้สึกเหมือนเป็นส่วนหนึ่งของการผจญภัยในเรื่องราวนั้นๆ อย่างเต็มที่
6.สร้างความจดจำและความทรงจำ
ดนตรีประกอบในภาพยนตร์นั้นเป็นเหมือนกับเครื่องรางแห่งความทรงจำที่ทำให้คุณย้อนกลับไปสู่ช่วงเวลาที่เต็มไปด้วยอารมณ์และความรู้สึกเพียงแค่ได้ยินเพลงเดียว! ลองนึกภาพตอนที่คุณฟังเพลงประกอบจากหนังที่คุณชอบ คุณอาจรู้สึกเหมือนถูกย้อนกลับไปที่ฉากที่คุณเคยหัวเราะจนท้องแข็ง หรือเศร้าจนน้ำตาซึม มันเหมือนกับการได้พบกับเพื่อนเก่าที่คุณไม่ได้เจอมาเป็นปีๆ แต่เมื่อได้เจอกันอีกครั้งก็เหมือนกับว่าเวลาหยุดอยู่ที่เดิม
การย้อนกลับไปสู่ช่วงเวลา
ดนตรีจากภาพยนตร์มีพลังที่ทำให้คุณรู้สึกเหมือนเดินทางย้อนกลับไปในช่วงเวลาที่เต็มไปด้วยอารมณ์และความรู้สึก หากคุณเคยดูหนังที่มีฉากรักโรแมนติกที่น่าจดจำ และตอนนี้คุณได้ยินเพลงประกอบจากฉากนั้น คุณอาจพบว่าตัวเองยิ้มและรู้สึกอุ่นใจเหมือนกับคุณกำลังนั่งอยู่ในร้านกาแฟที่มีบรรยากาศโรแมนติกไปพร้อมกับตัวละครในหนังนั้นเลยทีเดียว
การสร้างบรรยากาศ
ดนตรีประกอบไม่ใช่แค่เพลงที่ฟังเพลินๆ แต่เป็นส่วนหนึ่งที่ช่วยสร้างบรรยากาศให้กับเรื่องราว ในการผจญภัยที่เต็มไปด้วยความตื่นเต้น หากคุณได้ยินดนตรีที่เร้าใจและเต็มไปด้วยจังหวะตื่นเต้น คุณจะรู้สึกเหมือนว่าคุณกำลังวิ่งหนีจากสัตว์ประหลาดหรือกระโดดข้ามหน้าผา! ดนตรีจะทำให้คุณรู้สึกเป็นส่วนหนึ่งของการผจญภัยนั้นจริงๆ
ความรู้สึกที่ติดตรึง
เพลงประกอบที่ติดหูและโดดเด่นจะสร้างความรู้สึกที่ติดตรึงอยู่ในใจของคุณ มันเหมือนกับการมีภาพถ่ายที่เต็มไปด้วยความทรงจำที่ดี เมื่อคุณได้ยินเพลงจากภาพยนตร์ที่คุณรักอีกครั้ง คุณจะนึกถึงฉากที่คุณเคยหัวเราะจนท้องแข็ง หรือร้องไห้ในช่วงเวลาที่ซาบซึ้ง เพลงนี้จะทำให้ทุกอย่างกลับมามีชีวิตชีวาอีกครั้ง
การสร้างเอกลักษณ์
เพลงที่เป็นเอกลักษณ์ของภาพยนตร์นั้นเหมือนกับการมีโลโก้ที่ชัดเจนให้กับเรื่องราว หากคุณได้ยินเพลงที่เป็นธีมของภาพยนตร์ที่คุณชื่นชอบ คุณจะรู้ทันทีว่ามันคือภาพยนตร์เรื่องไหน และเรื่องราวนั้นจะกลับมามีชีวิตอีกครั้งในใจของคุณ
ตัวอย่างที่แสดงให้เห็นถึงความสามารถของดนตรีประกอบในการสร้างและกระตุ้นความทรงจำ
“My Heart Will Go On” จาก Titanic
เพลงนี้ไม่ใช่แค่เพลงประกอบ แต่เป็นสัญลักษณ์ที่สร้างความทรงจำในภาพยนตร์ “Titanic” เมื่อคุณได้ยินเพลงนี้ คุณอาจนึกถึงฉากสุดโรแมนติกระหว่างแจ็คและโรสบนดาดฟ้าของเรือไททานิค หรือความเศร้าของฉากที่เรือกำลังจมลง เพลงนี้ช่วยให้ภาพและอารมณ์ของฉากนั้นๆ ยังคงอยู่ในใจของคุณ
“Hedwig’s Theme” จาก Harry Potter
ทันทีที่คุณได้ยินท่วงทำนองของ “Hedwig’s Theme” คุณจะรู้สึกถึงความมหัศจรรย์และโลกเวทมนตร์ของ “Harry Potter” เพลงนี้เป็นเหมือนประตูที่พาคุณย้อนกลับไปยังฮอกวอตส์และการผจญภัยของแฮร์รี่ พอตเตอร์ แม้ว่าเวลาจะผ่านไปนานแค่ไหน
7.เน้นความสำคัญของเหตุการณ์
ดนตรีประกอบในภาพยนตร์เหมือนกับการมีดีเจที่เก่งกาจคอยควบคุมทุกจังหวะและอารมณ์เพื่อให้ช่วงเวลาสำคัญในหนังโดดเด่นสุดๆ! ลองนึกถึงดนตรีประกอบเป็นเหมือนกับเครื่องหมายสว่างที่กะพริบอยู่บนถนนใหญ่ ทำให้คุณรู้ว่านี่แหละคือจุดสำคัญที่ไม่ควรพลาด!
ทำให้ช่วงเวลาสำคัญโดดเด่น
คิดดูสิว่าตอนที่ตัวละครกำลังจะเปิดเผยความลับใหญ่ในเรื่อง หรือช่วงเวลาที่เป็นจุดเปลี่ยนของเรื่องราว ดนตรีที่ตื่นเต้นจะช่วยเน้นความสำคัญได้อย่างยอดเยี่ยม! เช่น เพลงที่มีจังหวะเร็วและดุดัน ทำให้คุณรู้สึกเหมือนว่ามีฟ้าผ่ากลางใจเมื่อเหตุการณ์นั้นเกิดขึ้น มันเหมือนกับว่า “ตอนนี้เป็นช่วงเวลาที่ทุกคนต้องหยุดฟัง!”
การสร้างบรรยากาศ
ดนตรีสามารถเปลี่ยนบรรยากาศของฉากได้เร็วเหมือนการเปลี่ยนสวิตช์ไฟ ถ้าฉากนั้นเต็มไปด้วยความรัก ดนตรีที่มีเสียงหวานๆ ก็ทำให้คุณรู้สึกถึงความโรแมนติกจนอยากให้ตัวละครกอดกันเลยทีเดียว ถ้าฉากนั้นเป็นการต่อสู้หรือการผจญภัย ดนตรีที่มีจังหวะหนักและเร็วจะทำให้คุณรู้สึกเหมือนกำลังอยู่ในสนามรบที่มีความตึงเครียดเต็มไปหมด
ธีมดนตรีและความคาดหวัง
ธีมดนตรีเฉพาะตัวละครหรือเหตุการณ์สำคัญเป็นเหมือนเครื่องหมายที่บอกให้รู้ว่า “นี่แหละช่วงเวลาที่ไม่ควรพลาด!” เมื่อคุณได้ยินเพลงธีมที่เกี่ยวข้องกับตัวละคร เช่น เพลงของฮีโร่หรือวายร้าย คุณจะรู้สึกถึงความยิ่งใหญ่และความสำคัญของตัวละครนั้นๆ หรือถ้าดนตรีเริ่มสร้างความตึงเครียดก่อนเหตุการณ์ที่สำคัญ มันทำให้คุณรู้สึกถึงความตื่นเต้นและการคาดหวังที่เพิ่มขึ้น
การเชื่อมโยงเหตุการณ์
ดนตรียังช่วยเชื่อมโยงเหตุการณ์ต่างๆ ให้อยู่ในลำดับที่ดีและมีความหมาย เช่น การใช้เพลงเดียวกันในหลายฉากที่มีความสำคัญทำให้คุณรู้สึกถึงความต่อเนื่องและการเชื่อมโยงระหว่างเหตุการณ์ มันทำให้ทุกช่วงเวลาในเรื่องดูเหมือนเป็นเรื่องราวที่มีความสมบูรณ์และมีการเดินเรื่องที่สนุกสนาน
ตัวอย่างของดนตรีประกอบในภาพยนตร์ที่เน้นความสำคัญของเหตุการณ์ให้เห็นภาพชัดเจน
“The Lord of the Rings: The Return of the King” – เพลง “Into the West”
เมื่อ Frodo และ Sam กำลังเดินทางกลับจากการผจญภัยที่อันตรายสุดๆ เพลง “Into the West” จะช่วยเน้นความสำคัญของช่วงเวลานี้ โดยการเล่นเพลงนี้ในฉากสุดท้ายที่เต็มไปด้วยความรู้สึกถึงการสิ้นสุดการเดินทางและการเริ่มต้นใหม่ เพลงนี้ไม่เพียงแค่ทำให้คุณรู้สึกถึงความสำเร็จและการยุติการผจญภัยที่ยิ่งใหญ่ แต่ยังช่วยให้คุณรู้สึกถึงความเศร้าและความยินดีที่มาพร้อมกับการจากลาของตัวละคร
“Inception” – เพลง “Time”
ใน “Inception” เพลง “Time” ใช้ในฉากที่เต็มไปด้วยความตึงเครียดและการตัดสินใจที่สำคัญ การใช้ดนตรีที่เพิ่มความเข้มข้นในช่วงที่ตัวละครพยายามทำลายเขาวงกตของความฝัน ทำให้คุณรู้สึกถึงความกดดันและความสำคัญของการที่ทุกสิ่งต้องสำเร็จภายในเวลาอันจำกัด ดนตรีจะเพิ่มความรู้สึกของการเร่งรีบและความตึงเครียดให้กับเหตุการณ์
อ้างอิง
Bordwell, D., & Thompson, K. (2013). Film art: An introduction (11th ed.). McGraw-Hill Education.
Branigan, E. (1992). Narrative comprehension and film. Routledge.
Cooke, M. (2008). A history of film music. Cambridge University Press.
Gorbman, C. (1987). Unheard melodies: Narrative film music. Indiana University Press.
Hesmondhalgh, D. (2013). The cultural industries (3rd ed.). Sage Publications.
Kalinak, K. (2010). Film music: A very short introduction. Oxford University Press.
Lipscomb, S. D., & Rauscher, F. H. (2017). The psychology of music: A very short introduction. Oxford University Press.
Maltby, R. (2003). Hollywood cinema (2nd ed.). Blackwell Publishing.
Smith, M. (1998). Film structure and the film theory: A critical introduction. Palgrave Macmillan.
Zimmer, H. (2016). The art of film music. Routledge.