Share

20 เคล็ดลับลับสุดยอดการ Mix เพลง: เทคนิคจาก Pro ที่จะทำให้เพลงคุณดังทะลุฟ้า!

21/10/2024

1. เลือกอุปกรณ์ที่ใช่ เพื่อการ Mix ที่เป๊ะ 🎧

มอนิเตอร์:

  • ระดับมืออาชีพ: Yamaha HS8 หรือ Adam Audio A7X
  • ราคาประหยัด: PreSonus Eris E5 XT, JBL Professional 305P MkII
  • ราคาปานกลาง: KRK Rokit 5 G4, Focal Alpha 50 Evo
  • ราคาสูง: Genelec 8030C, Neumann KH 120 A

หูฟัง:

  • ระดับมืออาชีพ: Sennheiser HD 650 หรือ Beyerdynamic DT 1990 Pro
  • ราคาประหยัด: Audio-Technica ATH-M50x, Sony MDR-7506
  • ราคาปานกลาง: Beyerdynamic DT 880 Pro, Shure SRH940
  • ราคาสูง: Audeze LCD-1, Focal Listen Professional

💡 เทคนิค: ใช้ทั้งมอนิเตอร์และหูฟังในการ Mix เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ลงตัวที่สุด ปรับ Mix ให้ฟังดีทั้งในหูฟังและลำโพง

🌟 ตัวอย่าง: Andrew Scheps ใช้ Augspurger monitors ร่วมกับหูฟัง Sony MDR-7506 ในการ Mix เพลง “By The Way” ของ Red Hot Chili Peppers เขาเริ่มต้น Mix ด้วยหูฟังเพื่อจัดBalanceเสียงเบื้องต้น แล้วจึงปรับแต่งต่อบนมอนิเตอร์เพื่อให้ได้ซาวด์ที่สมบูรณ์ที่สุด

2. จัดระเบียบ Tracks ให้เป็นระบบ 🗂️

💡 เทคนิค:

  • ใช้สีแยกประเภทของ Tracks (เช่น สีแดงสำหรับเสียงร้อง สีเขียวสำหรับกีตาร์)
  • จัดกลุ่ม Tracks ตามประเภทเครื่องดนตรี
  • ใช้ Track Templates เพื่อประหยัดเวลาในการตั้งค่า

🌟 ตัวอย่าง: Chris Lord-Alge ใช้ระบบสีในการจัด Tracks เพื่อให้ทำงานได้รวดเร็วขึ้น ในการ Mix เพลง “Boulevard of Broken Dreams” ของ Green Day เขาใช้สีแดงสำหรับเสียงร้อง สีน้ำเงินสำหรับกลอง และสีเขียวสำหรับกีตาร์ ทำให้สามารถนำทางใน Session ได้อย่างรวดเร็ว

3. ปรับ Gain Staging ให้เหมาะสม 📊

🔌 ปลั๊กอินแนะนำ:

  • Waves VU Meter
  • Hornet VU Meter MK4
  • Klanghelm VUMT Deluxe

💡 เทคนิค:

  • ปรับระดับ Input ของแต่ละ Track ให้อยู่ประมาณ -18 dBFS
  • ใช้ VU Meter เพื่อตรวจสอบระดับเสียง
  • ระวังไม่ให้เกิด Clipping ในขั้นตอน Recording และ Mixing

🌟 ตัวอย่าง: Dave Pensado เน้นย้ำความสำคัญของ Gain Staging ในรายการ Pensado’s Place เขาแนะนำให้ใช้ VU Meter ในการตรวจสอบระดับเสียงของแต่ละ Track โดยในการ Mix เพลง “Uptown Funk” ของ Mark Ronson ft. Bruno Mars เขาปรับให้เสียงกลองอยู่ที่ประมาณ -3 VU เพื่อให้มี Headroom เพียงพอสำหรับการ Mix

4. ใช้ EQ ช่วยปรับแต่งเสียง 🎛️

🔌 ปลั๊กอินแนะนำ:

  • FabFilter Pro-Q 3
  • Waves H-EQ Hybrid Equalizer
  • iZotope Neutron 3 EQ
  • UAD Pultec EQP-1A

💡 เทคนิค:

  • ใช้ High-pass filter ตัดความถี่ต่ำที่ไม่จำเป็น (เช่น ตัดที่ 100 Hz สำหรับเสียงร้อง)
  • ใช้ Subtractive EQ ก่อน Additive EQ
  • ใช้ Bell curve แคบๆ เพื่อตัดความถี่ที่รบกวน และ Wide curve เพื่อเพิ่มความถี่ที่ต้องการ

🌟 ตัวอย่าง: Andrew Scheps ใช้เทคนิค “Sweep and Destroy” ในการ Mix เพลง “Wasting Light” ของ Foo Fighters โดยใช้ FabFilter Pro-Q 3 เขาใช้ Bell curve แคบๆ เพิ่ม Gain สูงๆ แล้ว Sweep หาความถี่ที่ไม่พึงประสงค์ จากนั้นจึงลด Gain ลงเพื่อตัดความถี่นั้นออก

5. ควบคุม Dynamics ด้วย Compression 🎚️

🔌 ปลั๊กอินแนะนำ:

  • UAD 1176 Classic Limiter Collection
  • Waves CLA-76 Compressor / Limiter
  • FabFilter Pro-C 2
  • Softube Tube-Tech CL 1B

💡 เทคนิค:

  • ใช้ Ratio ต่ำ (2:1 ถึง 4:1) สำหรับการ Compress ทั่วไป
  • ใช้ Attack เร็ว (1-10 ms) และ Release ช้า (50-250 ms) สำหรับเสียงเบส
  • ใช้ Parallel Compression เพื่อเพิ่มพลังโดยไม่สูญเสียไดนามิก

🌟 ตัวอย่าง: Chris Lord-Alge ใช้ UAD 1176 ในการ Compress เสียงร้องของ Green Day ในเพลง “American Idiot” โดยใช้ Ratio 4:1, Attack 3 ms, Release 7 (ประมาณ 100 ms) และปรับ Input ให้ Compress ประมาณ 3-6 dB ในช่วงที่ร้องดังที่สุด

6. สร้างมิติด้วย Reverb และ Delay 🌌

🔌 ปลั๊กอินแนะนำ:

  • Valhalla VintageVerb
  • FabFilter Pro-R
  • Soundtoys EchoBoy
  • UAD EMT 140 Plate Reverb

💡 เทคนิค:

  • ใช้ Send Effects แทนการใส่ Reverb หรือ Delay ลงบน Track โดยตรง
  • ปรับ Pre-delay ของ Reverb ให้อยู่ระหว่าง 20-80 ms เพื่อสร้างความชัดเจน
  • ใช้ EQ ตัดความถี่ต่ำของ Reverb (ต่ำกว่า 200 Hz) เพื่อลดความมัว

🌟 ตัวอย่าง: Tony Maserati ใช้ UAD EMT 140 Plate Reverb ในการ Mix เพลง “Halo” ของ Beyoncé โดยตั้งค่า Decay Time ที่ 2.8 วินาที และใช้ Pre-delay 42 ms เพื่อสร้างความลึกให้กับเสียงร้องโดยไม่ทำให้เสียงเบลอ

7. ปรับแต่ง Stereo Image ให้กว้าง 🔊

🔌 ปลั๊กอินแนะนำ:

  • iZotope Ozone Imager
  • Waves S1 Stereo Imager
  • FabFilter Pro-Q 3 (M/S mode)
  • Brainworx bx_digital V3

💡 เทคนิค:

  • ใช้ Stereo Widening อย่างระมัดระวัง โดยเฉพาะกับเสียงเบสและกลอง
  • ใช้ M/S Processing เพื่อปรับแต่งความกว้างของเสียงโดยไม่กระทบ Mono Compatibility
  • ทำให้เสียงหลัก (เช่น เสียงร้อง) อยู่ตรงกลาง และขยายเสียงประกอบให้กว้างขึ้น

🌟 ตัวอย่าง: Jaycen Joshua ใช้ iZotope Ozone Imager ในการ Mix เพลง “Blinding Lights” ของ The Weeknd โดยขยายความกว้างของซินธ์ในช่วงความถี่สูง (5 kHz ขึ้นไป) ให้มีค่า Width ประมาณ 120-130% เพื่อสร้างความรู้สึกกว้างและสว่าง แต่ยังคงความแน่นของเสียงกลางและเบส

8. ใช้ Parallel Processing เพิ่มพลัง 💪

🔌 ปลั๊กอินแนะนำ:

  • Slate Digital Virtual Mix Rack
  • FabFilter Saturn 2
  • Soundtoys Decapitator
  • UAD Neve 1073 Preamp & EQ

💡 เทคนิค:

  • ใช้ Parallel Compression กับกลองและเสียงร้องเพื่อเพิ่มพลังโดยไม่สูญเสียไดนามิก
  • ใช้ Parallel Distortion เพื่อเพิ่มความอิ่มและฮาร์โมนิกส์
  • สร้าง Bus สำหรับ Parallel Processing แยกต่างหาก

🌟 ตัวอย่าง: Andrew Scheps ใช้เทคนิค Parallel Compression ในการ Mix เพลง “Red” ของ Taylor Swift โดยใช้ UAD Neve 1073 ตั้งค่า Input Gain สูงเพื่อให้เกิด Saturation แล้วใช้ Compressor ตั้ง Ratio สูง (8:1 หรือมากกว่า) จากนั้นผสมสัญญาณนี้เข้ากับสัญญาณต้นฉบับเพื่อเพิ่มความอิ่มหนาให้กับเสียงร้อง

9. ปรับแต่ง Transients ⚡

🔌 ปลั๊กอินแนะนำ:

  • SPL Transient Designer
  • Waves TransX
  • FabFilter Pro-DS
  • Softube Transient Shaper

💡 เทคนิค:

  • เพิ่ม Attack ให้กับเสียงกลองเพื่อให้มีความกระชับมากขึ้น
  • ลด Sustain ของเสียงกีตาร์เพื่อให้มีพื้นที่สำหรับเครื่องดนตรีอื่น
  • ใช้ร่วมกับ Compression เพื่อควบคุม Dynamics อย่างละเอียด

🌟 ตัวอย่าง: Manny Marroquin ใช้ SPL Transient Designer ในการ Mix เพลง “Umbrella” ของ Rihanna โดยเพิ่ม Attack ของกลองสแนร์ประมาณ 4-5 dB และลด Sustain ลง 2-3 dB เพื่อให้เสียงกลองมีความกระชับและโดดเด่นในมิกซ์

10. เพิ่มความอิ่มของเสียงด้วย Saturation 🎼

🔌 ปลั๊กอินแนะนำ:

  • FabFilter Saturn 2
  • Softube Harmonics
  • Waves NLS Non-Linear Summer
  • UAD Studer A800 Multichannel Tape Recorder

💡 เทคนิค:

  • ใช้ Tape Saturation เพื่อเพิ่มความWarmให้กับเสียงโดยรวม
  • ใช้ Tube Saturation กับเสียงร้องเพื่อเพิ่มฮาร์โมนิกส์
  • ใช้ Multiband Saturation เพื่อเพิ่มความอิ่มเฉพาะบางช่วงความถี่

🌟 ตัวอย่าง: Andrew Scheps ใช้ UAD Studer A800 ในการ Mix เพลง “Radioactive” ของ Imagine Dragons โดยใส่ลงไปในทุก Bus หลัก (Drums, Bass, Guitars, Vocals) ตั้งค่า Input Drive ประมาณ +3 ถึง +6 dB เพื่อเพิ่มความอิ่มและ “กาว” ให้กับเสียงทั้งหมด

11. ใช้ Sidechain Compression สร้างพื้นที่ 🏗️

🔌 ปลั๊กอินแนะนำ:

  • Waves C6 Multiband Compressor
  • FabFilter Pro-MB
  • Nicky Romero Kickstart
  • Xfer LFO Tool

💡 เทคนิค:

  • ใช้ Sidechain Compression เพื่อสร้างพื้นที่ให้กับเสียงร้องโดยลดระดับเสียงของเครื่องดนตรีอื่นๆ
  • ใช้ Multiband Sidechain เพื่อควบคุมเฉพาะบางช่วงความถี่
  • ใช้ LFO Tool หรือ Volume Shaper เพื่อสร้าง Pumping Effect ใน EDM

🌟 ตัวอย่าง: Serban Ghenea ใช้ Waves C6 Multiband Compressor ในการ Mix เพลง “Shape of You” ของ Ed Sheeran โดยใช้ Sidechain จากเสียงร้องไปควบคุมความถี่กลาง (1-5 kHz) ของเสียงดนตรี ตั้ง Threshold ให้ Compress ประมาณ 2-3 dB เฉพาะเวลาที่มีเสียงร้อง ทำให้เสียงร้องโดดเด่นโดยไม่ต้องเพิ่มระดับเสียง

12. ปรับแต่ง Low End ให้แน่น 🥁

🔌 ปลั๊กอินแนะนำ:

  • Waves LoAir
  • Renaissance Bass
  • Brainworx bx_subsynth
  • FabFilter Pro-MB

💡 เทคนิค:

  • ใช้ Low End Enhancement เพื่อเพิ่มฮาร์โมนิกส์ให้กับเสียงเบส
  • ใช้ Multiband Compression เพื่อควบคุมความถี่ต่ำ
  • ใช้ High-pass Filter อย่างระมัดระวังเพื่อลดความขุ่นของเสียงเบส

🌟 ตัวอย่าง: Noah “40” Shebib ใช้ Renaissance Bass ในการ Mix เพลง “God’s Plan” ของ Drake โดยใช้ค่า Intensity ประมาณ 30-40% และ Frequency ที่ 80 Hz เพื่อเพิ่มความหนักแน่นให้กับเสียงเบส โดยไม่ทำให้เสียงเบสบวมเกินไป

13. ใช้ Automation สร้างความน่าสนใจให้เพลง 🎢

🔌 ปลั๊กอินแนะนำ:

  • Native Instruments Kontakt
  • Xfer Serum
  • Waves Vocal Rider
  • iZotope Neutron 3 (Mix Assistant)

💡 เทคนิค:

  • ใช้ Volume Automation เพื่อควบคุมระดับเสียงอย่างละเอียด
  • ใช้ Filter Automation เพื่อสร้างความเคลื่อนไหวให้กับซินธ์และแพด
  • ใช้ Send Effect Automation เพื่อเพิ่มหรือลด Reverb/Delay ในบางช่วงของเพลง

🌟 ตัวอย่าง: Mark ‘Spike’ Stent ใช้ Automation อย่างสร้างสรรค์ในการ Mix เพลง “Supermassive Black Hole” ของ Muse โดยใช้ Filter Automation กับซินธ์เบสในท่อน Verse เพื่อค่อยๆ เปิดความถี่สูงขึ้นเรื่อยๆ จนถึง Chorus ทำให้เพลงมีความน่าสนใจและพลังงานที่เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ

14. Edit เสียงร้อง อย่างละเอียด 🎤

🔌 ปลั๊กอินแนะนำ:

  • Melodyne
  • Auto-Tune Pro
  • Waves Tune Real-Time
  • iZotope Nectar 3

💡 เทคนิค:

  • ใช้ Pitch Correction อย่างละเอียดเพื่อแก้ไขโน้ตที่เพี้ยนเล็กน้อย
  • ใช้ Time Alignment เพื่อปรับจังหวะของ Backing Vocals ให้ตรงกัน
  • ใช้ Formant Shifting เพื่อปรับเปลี่ยนคาแรคเตอร์ของเสียง

🌟 ตัวอย่าง: Manny Marroquin ใช้ Melodyne ในการปรับแต่งเสียงร้องของ Rihanna ในเพลง “Diamonds” โดยใช้ Pitch Correction แบบละเอียดเพื่อแก้ไขโน้ตที่เพี้ยนเล็กน้อย และใช้ Time Alignment เพื่อปรับ Backing Vocals ให้ตรงกันอย่างสมบูรณ์แบบ

15. สร้าง Depth ด้วย Layering 🧅

🔌 ปลั๊กอินแนะนำ:

  • Soundtoys Decapitator
  • FabFilter Saturn 2
  • Waves Abbey Road Saturator
  • UAD Ampex ATR-102

💡 เทคนิค:

  • ใช้ Layering เพื่อสร้างเสียงซินธ์ที่หนาและและมีรายละเอียดที่ซับซ้อน
  • ใช้ Different Saturation Types บนแต่ละ Layer เพื่อสร้างความหลากหลายของฮาร์โมนิกส์
  • ใช้ EQ และ Panning เพื่อให้แต่ละ Layer มีพื้นที่ของตัวเอง

🌟 ตัวอย่าง: Serban Ghenea ใช้เทคนิค Layering ในการ Mix เพลง “Blinding Lights” ของ The Weeknd โดยใช้หลาย Layer ของซินธ์ที่ผ่านการ Saturate ด้วย Decapitator และ Abbey Road Saturator แต่ละตัวตั้งค่าแตกต่างกัน เพื่อสร้างซาวด์ซินธ์ที่หนาและมีมิติ

16. ใช้ Reference Tracks เป็นแนวทาง 🎯

🔌 ปลั๊กอินแนะนำ:

  • ADPTR AUDIO Metric AB
  • Sample Magic Magic AB
  • Mastering The Mix REFERENCE

💡 เทคนิค:

  • เลือก Reference Tracks ที่มีคุณภาพเสียงดีในแนวเพลงเดียวกัน
  • ใช้ A/B Comparison เพื่อเปรียบเทียบ Mix ของคุณกับ Reference
  • วิเคราะห์ Frequency Spectrum และ Stereo Image ของ Reference

🌟 ตัวอย่าง: Andrew Scheps ใช้ ADPTR AUDIO Metric AB ในการ Mix เพลง “The Pretender” ของ Foo Fighters โดยใช้เพลงของ Queen เป็น Reference เพื่อเทียบBalanceของเครื่องดนตรีและความกว้างของ Stereo Image

17. ทำ Stem Mixing เพื่อความยืดหยุ่นในการทำงาน 🌿

🔌 ปลั๊กอินแนะนำ:

  • Waves Tracks Live
  • iZotope Neutron 3
  • Softube Console 1

💡 เทคนิค:

  • แยก Mix ออกเป็น Stems (เช่น ดรัม, เบส, กีตาร์, เสียงร้อง)
  • ใช้ Bus Processing กับแต่ละ Stem
  • ส่งออก Stems แยกกันเพื่อความยืดหยุ่นในการปรับแต่งภายหลัง

🌟 ตัวอย่าง: Tony Maserati ใช้ Stem Mixing ในการทำงานกับ Beyoncé ในเพลง “Halo” โดยแยก Mix ออกเป็น 8 Stems หลัก ทำให้สามารถปรับเปลี่ยนสัดส่วนของแต่ละ Element ได้อย่างรวดเร็วตามความต้องการของศิลปิน

18. ใช้ Multiband Processing 🌈

🔌 ปลั๊กอินแนะนำ:

  • FabFilter Pro-MB
  • iZotope Ozone 9 Advanced
  • Waves C6 Multiband Compressor
  • UAD Precision Multiband

💡 เทคนิค:

  • แบ่งความถี่เป็น 3-4 Band สำหรับการ Process
  • ใช้ Multiband Compression เพื่อควบคุม Dynamics ในแต่ละช่วงความถี่
  • ใช้ Multiband Saturation เพื่อเพิ่มฮาร์โมนิกส์เฉพาะบางช่วงความถี่

🌟 ตัวอย่าง: Chris Lord-Alge ใช้ Waves C6 Multiband Compressor ในการ Mix เพลง “21 Guns” ของ Green Day โดยแบ่งความถี่ออกเป็น 4 Band และใช้ Compression ที่แตกต่างกันในแต่ละ Band เพื่อควบคุมพลังงานของเพลงอย่างละเอียด

19. ทำ Bus Processing เพื่อGlue เสียงเข้าด้วยกัน 🚌

🔌 ปลั๊กอินแนะนำ:

  • SSL G-Bus Compressor
  • UAD Neve 33609 / Fairchild 670
  • Softube Drawmer S73
  • Waves API 2500

💡 เทคนิค:

  • ใช้ Bus Compression เพื่อ “Grue” เสียงเครื่องดนตรีเข้าด้วยกัน
  • ใช้ Parallel Bus Processing เพื่อเพิ่มความหนาแน่นโดยไม่สูญเสียไดนามิก
  • ใช้ EQ บน Bus เพื่อปรับแต่งโทนเสียงโดยรวม

🌟 ตัวอย่าง: Michael Brauer ใช้เทคนิค Multi-bus Compression ในการ Mix เพลง “Viva La Vida” ของ Coldplay โดยแบ่งเสียงออกเป็น 5 bus และใช้ Compressor ที่แตกต่างกันในแต่ละ bus (เช่น Neve 33609, Fairchild 670) เพื่อสร้างซาวด์ที่เป็นเอกลักษณ์

20. ทำ A/B Testing อย่างสม่ำเสมอ 🔄

🔌 ปลั๊กอินแนะนำ:

  • Sample Magic Magic AB
  • Mastering The Mix REFERENCE
  • Metric AB
  • Melda Production MCompare

💡 เทคนิค:

  • เปรียบเทียบเสียงก่อนและหลังการปรับแต่งอย่างสม่ำเสมอ
  • ใช้ Volume Matching เพื่อให้การเปรียบเทียบเป็นธรรม
  • ทำ A/B Testing ทั้งบน Monitor และหูฟังหลายๆ รุ่น
  • เปรียบเทียบ Mix ของคุณกับ Reference Tracks ในแนวเดียวกัน

🌟 ตัวอย่าง: Greg Calbi ใช้เทคนิคนี้ในทุกขั้นตอนของการ Master เพลง “Uptown Funk” ของ Mark Ronson ft. Bruno Mars โดยเปรียบเทียบเสียงก่อนและหลังการปรับแต่งทุกครั้ง เพื่อให้แน่ใจว่าทุกการเปลี่ยนแปลงส่งผลดีต่อคุณภาพเสียงโดยรวม นอกจากนี้ เขายังใช้ Mastering The Mix REFERENCE เพื่อเปรียบเทียบกับเพลงฮิตอื่นๆ ในช่วงเวลาเดียวกัน เพื่อให้มั่นใจว่าเพลงนี้จะสามารถแข่งขันได้ในตลาดเพลง

การทำ A/B Testing อย่างสม่ำเสมอช่วยให้คุณสามารถตัดสินใจได้อย่างมีประสิทธิภาพว่าการปรับแต่งใดที่ช่วยพัฒนาคุณภาพของ Mix และช่วยให้คุณหลีกเลี่ยงการปรับแต่งที่มากเกินไปซึ่งอาจทำให้เสียงแย่ลง

สรุป:
การ Mix เพลงเป็นทั้งศาสตร์และศิลป์ที่ต้องอาศัยทั้งความรู้ทางเทคนิคและความคิดสร้างสรรค์ 20 เทคนิคนี้เป็นเพียงจุดเริ่มต้นในการพัฒนาทักษะการ Mix ของคุณ การฝึกฝนอย่างสม่ำเสมอและการเปิดใจเรียนรู้เทคนิคใหม่ๆ จะช่วยให้คุณสามารถสร้างสรรค์ผลงานที่มีคุณภาพระดับมืออาชีพได้

หากคุณต้องการเรียนรู้เพิ่มเติมเกี่ยวกับการ Mix และ Mastering แบบมืออาชีพ เราขอแนะนำคอร์ส Music Producer Boot Camp ของเรา ที่จะช่วยให้คุณเข้าใจกระบวนการผลิตเพลงอย่างครบวงจร

🎶 สนใจเรียนทำเพลงด้วย Suno AI แบบจัดเต็ม ดูรายละเอียดได้ที่
AI Music in come สอนสร้างคลิปไปทำช่องสร้างรายได้ยุคใหม่ โดยใช้พลังของ AI

📚 คอร์สเรียนอื่นๆ สามารถดูได้ที่ Home

🏋️‍♂️ คอร์ส Music Producer Bootcamp: https://academy.mrarranger.com/home

📣 ติดตามข่าวสารและเทคนิคการทำเพลงเพิ่มเติมได้ที่ Page MrArranger:
MR Arranger สอนทำเพลง แต่งเพลง Mix Mastering รับผลิตเพลงครบวงจร