Share

5 ข้อนี้ จะทำให้คุณเข้าใจการ Masking มากขึ้น!!

15/09/2018

การ Masking เป็นหนึ่งในหัวข้อที่มีการเข้าใจผิดกันมากที่สุด

ในเรื่องของเสียง Masking ถ้าให้พูดง่ายๆก็คือ เมื่อเสียงๆหนึ่งไปบดบังอีกเสียงหนึ่ง Masking ยังแยก ได้เป็นชนิดต่างๆอีกด้วย
ตัวอย่างเช่น Frequency Masking
ก็คือเมื่อเสียงๆหนึ่งไปยังอีกเสียงหนึ่งแล้วส่งผลถึง
Tone ของเสียงนั้น มันคือปัญหาที่เกิดขึ้นบ่อยๆ
การ Masking คือปัญหาที่เกิดจากการ Arrange
เครื่องดนตรี ซึ่งมันจะส่งผลต่อ Dynamic ของเพลง
ในภายหลัง ทุกๆครั้งที่เสียงเกิดขึ้นพร้อมๆกันมัน
จะมีผลกระทบต่อกัน บางทีเป็นผลกระทบที่ดี
ส่งเสริมกัน (Constructive) แต่บางทีเสียงนั้น
ก็หักล้างกัน (Destructive) เคยไหมคุณรู้สึกว่า Kick
ที่เลือกมามันใหญ่ดีและเพอร์เฟ็คแล้ว จนคุณเพิ่ม
Synth Lead เข้าไปและพบว่า Kick ของคุณนั้น
ซาวด์ไม่ใหญ่เหมือนที่คุณฟังในตอนแรก ซึ่งนำพา
เรามาถึงจุดนี้ว่าเราจะให้ Space ของแต่ละเสียง
อย่างไรให้มันไม่ทับกัน และฟังดูดีที่สุด


1.ทำความเข้าใจก่อนว่าไม่ใช่ทุก Element
ควรจะแยกออกจากกัน

ถ้าคุณมีการ Arrange เครื่องดนตรีที่อัดแน่น
มันเป็นเรื่องธรรมดาอยู่แล้วที่เสียงจะมีการ Overlap
อย่างเช่นถ้าคุณมีส่วนของ Strings ใน Mix
นั้นประกอบด้วย Violin,Viola, Cello และ Bass
คุณไม่สามารถทำให้ทุกๆอันเด่นได้
สิ่งที่โปรดิวเซอร์ทำก็คือให้มันกลมกันเหมือนเป็น
source เดียวไปเลย เสียงจำพวกการ Dub กีต้าร์,
Drum Layer, Synth Layer ก็เป็นอารมณ์เดียวกัน
คือผสมให้มันเป็นเสียงที่เข้ากันไป ถ้าคุณต้องการ
ให้ทุกๆเสียงเป็นพระเอกสุดท้ายแล้วมันจะไม่มี
ตัวไหนเป็นพระเอกเลย


2.ให้ทุกๆส่วนประกอบมีหน้าที่ของมัน

ยกตัวอย่างคุณมีเพลงที่ประกอบด้วยกีต้าร์, เบส,
เชลโล่, เปียโน, กลองและเสียงร้องจะเป็นการยาก
ต่อการ Balance ความถี่มาก ถ้าคุณไม่รู้ว่าแต่ละ
หน้าที่ของมันคืออะไร ในเพลงนั้นคุณต้องการ
Low End ของเปียโนไหม หรือว่าแค่ต้องการเสียง
Hammer ของมันเพื่อให้ได้ คาแร็คเตอร์แบบ
Percussive อะไรสำคัญกว่ากันระหว่าง Attack
ของ Kick กับของ Bass เมื่อคุณรู้สิ่งเหล่านี้
อยู่ในใจแล้วเมื่อนั้นคุณถึงจะจัดการกับความถี่
และ Dynamic ได้

3.คอยจับตาดู Timing ของ Reverb คุณ
ปัญหาการ Masking หลายๆครั้ง สามารถแก้ไข
ได้ด้วยการเช็ค Reverb บางที Reverb ที่มีหางยาวๆ
อาจฟังดูดีตอนกด Solo แต่เมื่อคุณนำมันกลับเข้ามา
ใน Mix คาแร็คเตอร์มันกลับหายไป ซ้ำยังกลายเป็น
Noise ที่ไปรบกวนเสียงอื่นอีก ไอเดียนี้รวมไปถึง
Release และ Sustain ของทุกๆเสียงอีกด้วย
เช่น การลาก Sustain ของเปียโนยาวๆบางทีอาจดี
กับเพลงป๊อปแต่ก็ไม่เหมาะ สำหรับเพลงร็อคแรงๆ
Kick ใหญ่ๆและแรงอาจเหมาะกับเพลง Hip Hop
แต่ไม่เหมาะเท่าไหร่กลับเพลง Death Metal
ที่มีการรัวกระเดื่องอย่างต่อเนื่อง เพราะจะทำ
ให้ย่าน Low เละเทะได้ คุณต้องเลือกให้ Dynamic
กับเครื่องดนตรีให้ถูกต้องว่าตัวไหนควรมี Attack
และตัวไหนทำหน้าที่ Sustain เมื่อจัดการส่วนนี้ได้
มันจะลดความจำเป็นในการที่ต้องแก้ไขด้วย EQ
แค่การจัดการ Dynamicให้ถูกก็ลดปัญหาการ
Masking ได้อีกมากมาย

4.ตรวจดูย่านความถี่
จะพบว่าเมื่อเราแค่ลด Sustain ของเปียโน
มันทำให้ Vocal, Guitar และ กลองเด่นชัด
ขึ้นมาได้ แต่แค่นั้นอาจยังไม่พอ ลองหยิบ EQ
ขึ้นมาสักตัว และ EQ อย่างระมัดระวังเลือก
ให้ถูกว่าจะทำอะไรกับตัวไหน

ข้อผิดพลาดอย่างหนึ่งที่ Producer มือใหม่
ทำกันเยอะคือการใช้ Subtrative EQ
อย่างฟุ่มเฟือย 5.Pan มันออกไป คุณมีอำนาจ
ที่จะควบคุม Stereo Image อยู่ที่ปลายนิ้ว
แค่การ Pan อย่างหนึ่งไปซ้ายอย่างหนึ่งไปขวา
ก็สามารถแก้ไขการ Masking ได้แต่มันจะ Overlap
กันอยู่ดีเมื่อคุณจับรวมมันเป็น Mono แต่ถึงอย่างไร
มันก็แก้ไขปัญหาได้

 

สรุป อย่ามองว่าการ Masking เป็นแค่ปัญหาของ
ความถี่ บางทีมันอาจเป็นเรื่องของ Dynamic
ด้วยแทนที่คุณจะรีบหยิบ EQ ตัวหนึ่งมาแก้
ลองเปลี่ยนเป็น Gate หรือ Expander ออกมา
ใช้ดูบางทีมันอาจ ทำงานได้ดีกว่า
สุดท้ายให้ฟังรวมๆแล้วตัดสินว่าจะต้องทำอะไรบ้าง

 

Mr Arranger สังคมของคนทำเพลง

 

?เข้ากรุ๊ปแบ่งปันความรู้และเทคนิค
?กรุ๊ป Pro tools User Thailand >>

?กรุ๊ป Ableton Live User Thailand >>

?กรุ๊ป Mr.Arranger Thailand

 

—————————————

Commentจากผู้เรียนกับเรา : https://goo.gl/nCQrd

————————————-

ดู Link ต้นฉบับ
Chanitip Boom

——————————————

?ติดตามข่าวสารและโปรโมชั่นพิเศษได้ที่
Line@ : @mrarranger
Line : https://line.me/R/ti/p/%40mrarranger
www.Mrarranger.com

โทร 094-5653266,096-1926592