สวัสดีครับ เพื่อนๆ ชาว Mrarranger วันนี้เรามีเคล็ดลับเด็ดๆ ที่จะช่วยยกระดับเสียงร้องของคุณให้ดูโปรขึ้น เหมือนนักร้องระดับโลกเลยล่ะ! ซึ่งเทคนิคเหล่านี้ ผมได้สังเคราะห์มาจากประสบการณ์ตรงที่ทำงานมาเกือบ 20 ปี และจากการเรียนรู้จากโปรดิวเซอร์ชั้นนำระดับโลก ในคอร์ส ที่ไปลงเรียนมา รวมทั้งหาข้อมูลเพิ่มเติม เอามาเขียนเป็นบทความนี้ รับรองว่าถ้าเอาไปใช้ เสียงร้องของคุณจะมีไดนามิก สื่ออารมณ์ได้ชัดเจน มีพลัง และฟังดูมืออาชีพแน่นอน งั้นไปดูกันเลยครับว่ามีกลเม็ดอะไรบ้าง
1.เลือกไมค์ให้ใช่ ร้องได้ใจเพลงต้องปัง
การเลือกไมโครโฟนที่เหมาะกับแนวเพลงและลักษณะเสียงร้องของเรา จะช่วยให้เราอัดเสียงออกมาได้ดี มีคาแรกเตอร์ตามที่ต้องการ ไม่ว่าจะอัดMain Vocal เสียงแบ็คอัพ หรือเสียงฮาร์โมนี ก็ควรเลือกใช้ไมค์คนละตัว จะได้แยกเสียงออกจากกันได้ง่าย ตัวอย่างไมค์ยอดนิยมของมืออาชีพ เช่น
Neumann U87 ไมค์คอนเดนเซอร์ตัวท็อป เสียงใส นุ่มลึก อย่างเพลง “Hello” ของ Adele ก็ใช้ไมค์นี้ในการอัด เหมาะสำหรับอัดเสียงร้องหลัก

Shure SM7B ไดนามิกไมค์สุดคลาสสิก เสียงอุ่น นุ่ม มีบอดี้ดี ราคาไม่แพง Michael Jackson ใช้อัดเสียงร้องเพลง “Billie Jean” ด้วยไมค์รุ่นนี้

Audio-Technica AT4040 คอนเดนเซอร์ไมค์เสียงเป็นธรรมชาติ ราคาไม่แรง เหมาะกับงานอัดหลายแบบ ทั้งร้องเดี่ยว ร้องประสาน หรือเสียงแบ็คกราวด์

2.วางโครงสร้างเพลงให้ลงตัว อย่าให้ซ้ำซาก
ในท่อนที่เนิบช้า อย่างท่อน Verse ให้ใช้ทำนองที่เรียบง่าย ไม่ซับซ้อนเกินไป เก็บพลังเสียงเอาไว้ก่อน แล้วค่อยๆ ปูอารมณ์ให้เข้มข้นขึ้นเรื่อยๆ จนปะทุออกมาเต็มที่ในท่อนฮุค ตรงนี้ควรใช้เสียงที่โดดเด่น เป็นธีมหลักที่คนจดจำได้ อาจมีการร้องประสานเป็นคอร์ดหลายชั้น ให้ฟังดูอลังการ อย่างในเพลงฮิตติดชาร์ตอย่าง “Shape of You” ของ Ed Sheeran ที่เริ่มจากท่อน Verse เบาๆ แล้วค่อยๆ ไต่ระดับความเร้าใจขึ้นเรื่อยๆ จนถึงท่อนฮุคที่ร้องทำนองหลักคู่กับแรปเก่งๆ กลายเป็นเพลงฮิตไปทั่วโลก
3.ใช้เทคนิค Call & Response ในท่อนฮุคให้เด็ด
4.ปรุงเสียงให้มีมิติด้วย Reverb/Delay
อย่าลืมเติมเต็มพื้นที่ในเพลงด้วยเอฟเฟกต์อย่าง Reverb และ Delay นะครับ เพราะมันจะช่วยเพิ่มความลึก ความกว้าง ให้กับเสียงร้องได้ดี แนะนำว่าในท่อนที่เบาๆ ใช้ Reverb สั้นๆ Delay นิดหน่อยก็พอ แต่พอถึงท่อนทำนองหลักที่ต้องเร่งอารมณ์ ค่อยๆ เพิ่มความยาวหางเสียงมากขึ้นตามจังหวะของเพลง จะยิ่งช่วยขับให้ท่อนนั้นดูไม่แบน มีความเป็นMusical มากขึ้น อย่างในเพลง “Chandelier” ของ Sia ก็จะได้ยินชัดเจนว่าท่อนสองที่ดังเร่งเครื่อง เขาเพิ่ม Reverb ยาวปนเสียงสะท้อนแบบห้องใหญ่ๆ ฟังดูอลังการมาก
5.ผสมผสานเสียงScream หลากหลายในเพลงเมทัล
สำหรับแนวเพลงหนักหน่วงอย่างเมทัลคอร์ ก็ต้องเน้นความดุดันเป็นพิเศษในท่อน Breakdown โดยอาจใช้เสียงตะโกนหลายแบบมาร้องประสาน ทั้งเสียงเกรี้ยวกราด เสียงแหลมโหยหวน ร้องสลับกันไปมา ใช้ปลั๊กอิน Vocal Multiplier เพิ่มความหนาของเสียง ใส่ Distortion ให้เสียงดูสากๆ สกปรก แล้วปรุงจนกว่าจะได้เสียงโหดสะใจตามต้องการ อย่างในเพลง “The Vengeful One” ของ Disturbed จะได้ยินเสียงสกรีมหลายสไตล์ผสมผสานกันอย่างลงตัว ทั้ง fry scream, false chord, pig squeal ตัดกับเสียงร้องปกติ ทำให้ท่อน Breakdown นี้หนักแน่นสมชื่อ
6.เซอร์ไพรส์ด้วยเอฟเฟกต์ Vocoder
ใครว่าจะใช้เสียงร้องแบบเดิมๆ ได้ตลอด ลองเปลี่ยนสไตล์ด้วย Vocoder ดูครับ จะเป็นการเอาเสียงร้องผ่านซินธ์แล้วปรับเสียงใหม่ ให้ออกมาแปลกๆ คล้ายหุ่นยนต์ก็ได้ หรือจะให้ย่อยเสียงร้องหลักแล้วสร้างเป็นเสียง Backing ประกอบ ก็เพิ่มลูกเล่นให้เพลงน่าสนใจขึ้น
อย่างเพลง “Believe” ของ Cher ที่ดังไปทั่วโลก ก็ใช้เอฟเฟกต์ Vocoder นี้แหละ ทำให้เสียงร้องของเธอดูเหมือนมาจากอวกาศ แต่ก็ยังรักษาท่วงทำนองหลักเอาไว้ได้ น่าทึ่งมากๆ 
7.เล่นกับ Pitch ขึ้นลงให้เป็นลูกเล่น
ลองใช้ปลั๊กอิน Pitch Shifter ปรับค่าเสียงร้องลงทีละ 1 octave แล้วเอามาร้องประสานกับเสียงหลัก ก็จะทำให้เพลงมีกลิ่นอายลึกลับขึ้นได้ หรือจะลองเล่นเป็นลูกเล่นเสียงแปลกๆ ก็ได้ เช่นดึงเสียงร้องให้ต่ำลงเรื่อยๆ ใช้ Tape Stop เอฟเฟกต์หยุดเสียงแบบเทปหมุนช้าลง
ตัวอย่างเช่น
ท่อน Pre-chorus ในเพลง “Closer” ของ The Chainsmokers feat. Halsey ที่ค่อยๆ ลดความเร็วและความสูงเสียงลงเหมือนเทปกำลังหยุดหมุน
ในท่อนท้ายเพลง “Believer” ของ Imagine Dragons ที่ค่อยๆ ทำเสียง Tape Stop ต่ำลงไปเรื่อยๆ
8.เชื่อมท่อนเพลงอย่างนุ่มนวลด้วย Reverse Reverb
อีกเทคนิคที่ช่วยเชื่อมต่อระหว่างท่อนเพลงได้อย่างไหลลื่นคือการใช้ Reverse Reverb โดยตัดคำร้องแรกของท่อนใหม่ เอาไปกลับหลังหน้า ใส่ Reverb ยาวๆ แล้ว Render ออกมา หลังจากนั้นก็เอามากลับหลังหน้าอีกที ได้เสียงเอฟเฟกต์เหมือนสะท้อนกลับจากอนาคต เอามาต่อหน้าท่อนนั้นพอดี แล้วก็ค่อยๆ ปรับความดังให้กลมกลืน เป็นอันเสร็จ!
โปรดิวเซอร์ชื่อดังอย่าง Max Martin ใช้เทคนิคนี้บ่อยมาก เช่นในเพลงอย่าง “Break Free” ของ Ariana Grande จะมี Reverse Reverb เชื่อมทุกท่อน ทำให้การไหลของเพลงต่อเนื่องสวยงาม
9.ฝึกทำบ่อยๆ แล้วจะเจอสไตล์ที่ใช่
สุดท้ายนี้ผมอยากให้ทุกคนได้ลองผิดลองถูกด้วยตัวเอง เพราะไม่มีสูตรสำเร็จตายตัวในการทำเพลงหรอกครับ ทุกอย่างขึ้นอยู่กับรสนิยม ความถนัด และแนวเพลงที่เราถนัด เริ่มจากเอาเทคนิคพื้นฐานที่แนะนำไปปรับใช้กับผลงานของตัวเอง สังเกตว่ามันเข้ากันดีหรือเปล่า ถ้ายังไม่ลงตัวก็ค่อยๆ ปรับทีละนิด จนกว่าจะพอใจ
อย่ากลัวที่จะแตกต่างหรือแหวกแนวนะครับ เพราะนั่นอาจจะกลายเป็นจุดเด่นให้กับเราก็ได้ ขอแค่มุ่งมั่น ไม่ท้อถอย สักวันต้องเจอสไตล์ที่เป็นตัวเองแน่นอน แล้วคนฟังจะจดจำเสียงเราได้ไม่ยากเลย อย่างศิลปินระดับโลกหลายคน ไม่ว่าจะเป็น Freddie Mercury, Mariah Carey, Whitney Houston, Beyoncé, Bono, Chris Martin ฯลฯ ก็ล้วนแล้วแต่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัว เป็นที่จดจำของแฟนเพลงทั่วโลก
หวังว่าทั้ง 9 เทคนิคที่กล่าวมา จะเป็นแรงบันดาลใจให้เพื่อนๆ นำไปปรับใช้ ยกระดับการร้องเพลงของตัวเองให้ก้าวไปอีกขั้น สามารถดึงศักยภาพที่มีอยู่ออกมาใช้ได้เต็มที่ หากมีคำถามหรืออยากเสริมอะไรเพิ่มเติม คอมเมนต์มาได้เลยนะครับ ยินดีแลกเปลี่ยนเรียนรู้กันครับ
แล้วเจอกันใหม่ในบทความหน้า สัญญาว่าจะมีเทคนิคดีๆ มาฝากอีกเพียบ แล้วพบกันใหม่นะครับ สวัสดีครับ
อ้างอิง: 
[1] https://www.sweetwater.com/insync/vocal-mic-shootout/ 
[9] https://www.soundonsound.com/techniques/inside-track-ariana-grande-break-free 
[10] https://iconcollective.edu/finding-your-voice/
