The Basics of Chords: Part 1
ดนตรีนั้น คนส่วนใหญ่มักจะบอกว่าประกอบด้วยสามสิ่งหลักๆคือ Rhythm, Harmony, Melody
ทฤษฎีนี้อาจจะไม่ได้รวมดนตรีพื้นบ้านของชาติอื่นๆที่ไม่ได้มาจากตะวันตกเช่น Raga (รากะ) รากะไม่ได้มี Harmony ในแบบที่ทุกคนเห็น (Chords) รากะจะมีสองส่วนหลักๆคือ Rhythm และ Harmony
การที่มีคอร์ด Progression ที่น่าสนใจเป็นจุดเริ่มต้นในการทำเพลงที่ดีได้
เรามาดูพื้นฐานกันก่อนที่เราจะไปในช่วง Creative นะครับ
ผมอยากจะให้ทุกคนทำความเข้าใจก่อนนะครับ ผมไม่แนะนำให้เวลาแต่งเพลงมานั่งคิดถึงหลักการว่าเอ้ย เราจะใช้คอร์ดอะไรดีให้เพลงดูเก๋ หรือคอร์ดนี้ไม่อยู่ในคีย์เราไม่ใช้ มันไม่เสมอไปนะครับ คุณสามารถคิดอะไรที่มันนอกกรอบ หรืองานของคุณไม่จำเป็นต้องดีเท่าที่คุณหวังไว้(มันอาจจะดีได้มากกว่านั้น)
อย่างไรก็ตาม เมื่อคุณคิดอะไรไม่ออกหรือต้องการจะใส่อะไรให้มันดูน่าสนใจในงานของคุณ การใช้หลักในการวิเคราะห์งานที่ทำไปแล้ว เพื่อทำให้งานมันดีกว่าเดิมได้ ก็เป็นอีกทางเลือกนึงที่ดีเช่นกัน
มันเป็นเรื่องดีนะครับที่เราเล่นได้ทั้ง 12 คีย์ แต่เราไม่จำเป็นต้องเล่นอยู่แต่ในคีย์เสมอไป บางทีเราสามารถใช้คอร์ดนอกคีย์ได้ โดยหลักการนี้เรียกว่า Modal Interchange
เจ้า Modal Interchange เนี่ยหลักของมันคือการเปลี่ยนโหมดของคอร์ดนั้น เช่นการจะเปลี่ยน Mode ของ คอร์ด 1 ที่เป็น Mode Major เป็น โหมด Minor ที่เป็น Dorian เราก็สามารถเปลี่ยนได้ เพื่อที่จะเปลี่ยน Character ของคอร์ดให้ดูน่าสนใจ เดี๋ยวถ้ามีเวลากว่านี้จะมาเขียนเรื่อง Modal Interchange ให้ละเอียดกว่านี้นะครับ
The Melody of Harmony
แม้ว่า Melody กับ Harmony จะแตกต่างกัน แต่มันก็ยากที่จะแยกสองตัวนี้ออกจากกันได้ การเขียนคอร์ดใหม่(Re-Harmonizing)ทำให้ซาวด์ของ melody นั้นเปลี่ยนไปในรูปแบบที่แตกต่างได้
เช่นสมมติว่าเราจะเปลี่ยนคอร์ดเพลง Super Star ของศิลปิน Groove riders เค้าอาจจะเล่นเป็นคอร์ด Major ตอน Intro เราอาจจะเลี่ยน คอร์ด Minor เราก็จะได้รู้สึกว่า Melody ที่ทำหน้าที่กับคอร์ดจะเปลี่ยนไป เราไม่จำเป็นต้องเป็นคอร์ดทาง Minor ก็ได้เพียงแต่ดูว่า Melody นั้น สามารถเล่นกับคอร์ดอะไรได้อีกบ้าง มันก็จะเป็นการทำให้เราฝึกใช้คอร์ดและอาจจะทำให้เรา Arrange เพลงได้กว้างขึ้นจากทางคอร์ดใหม่ๆ
สมมติว่า เพลง Super Star คอร์ดหลักๆคือ G F C เราอาจจะเปลี่ยนเป็น Em7 Dm7 Am7 ก็จะได้ Character อีกแบบ
The Major Scales
การที่คุณจะรู้ว่าคุณเล่นคอร์ดอะไรได้บ้าง แปลว่าคุณต้องการที่จะรู้คอร์ดพื้นฐานในทฤษฎี ผมจะใช้คีย์ C major เป็นการยกตัวอย่างเพื่อความเข้าใจที่ง่ายที่สุด แต่ก็ไม่ใช่ว่าจะใช้แต่แค่คีย์ C นะครับ ลองไปปรับใช้กับคีย์อื่นดูด้วย
สมมติว่าคีย์ C โน้ตที่มีก็คือ C D E F G A B นี่คือโน้ตในคีย์ C
และคอร์ดของคีย์ C คือ C Dm Em F G Am Bdim จะสังเกตได้ว่า คอร์ดในลำดับที่ 1 4 5 ของสเกลจะเป็นคอร์ด major แต่ถ้าเราพูดถึงคอร์ด ที่มีโน้ต 4 ตัว ในหนึ่งคอร์ด นั้นก็จะเป็น Cmaj7 Dm7 Em7 Fmaj7 G7 Am7 Bm7b5(Bminor7flat5 หรือ B half dim) ซึ่งก็เหมือนกันเพียงแต่คอร์ด 5 จะทำหน้าที่จัดเจนกว่าเดิมโดยการเป็น คอร์ด Dominant ซึ่งคอร์ดส่วนใหญ่จะทำหน้าที่เพื่อส่งต่อไปคอร์ด อื่นๆ แต่ในกรณีคอร์ด 5 แล้วมักจะส่งไปคอร์ด 1 ซะเป็นส่วนใหญ่
The Function of Chords
คอร์ดนั้นไม่ได้สุ่มมาตามมีตามเกิด แต่มันมักจะมีเหตุผลเสมอว่าทำไมเราควรจะเลือกคอร์ดเหล่านั้นมาใช้
การที่เราจะนำมันมาใช้ได้อย่างช่ำชองนั้นเราควรเข้าใจ Function ของคอร์ดก่อนว่าแต่ละคอร์ดมีหน้าที่อะไรบ้าง
มาดูกันที่คอร์ดของคีย์ C major
Tonic (โทนิค)
C major. คือคอร์ดแรกของ Scale เราจะเรียกมันว่า Tonic และ Function ของมันก็คือความหนักแน่นหรือเป็นที่ยึดเหนี่ยวสามารถเป็นหลักได้. และยังมีอีกสองคอร์ด ที่เป็น Tonic Function ก็คือคอร์ด Eminor และ Aminor ในหลายๆครั้งมันสามารถใช้แทนกันได้ สาเหตุเพราะ ในคอร์ด Em(คอร์ด 3) มีโน้ต e กับ g ที่ใช้ในคอร์ด Cและในคอร์ด Am(คอร์ด6) มี c กับ e ที่ใช้ในคอร์ด C เช่นกัน แต่มันก็มีชื่อทางทฤษฎีนะ ไอคอร์ด 3 กับ 6เนี่ย คอร์ดสามคือ Median หกคือ Submediant แต่ Function มันก็คือตระกูล Tonic แหละ
Subdominant
Function ของ subdominant มันจะไม่หนักแน่นเท่าคอร์ด Tonic มีความต้องการจะไปต่อซักที่หนึ่ง คือถ้าเปรียบเทียบก็ ถ้า Tonic เป็นคนที่นอนอยู่บนเตียงนุ่มๆโดนดูดในตอนเช้าวันอาทิตย์ Subdominant ก็จะเป็นคนที่จะเดินไปทำงานวันจันทร์เพื่อเฝ้ารอการมาถึงของวันศุกร์เย็น ที่ยังห่างไกลเสียเหลือเกิน เงินก็หมดตั้งแต่กลางเดือน ตังก็มีไม่พอใช้ มาม่าก็กินจนอืดอยู่ในท้อง นั่งคิดแต่ว่าต้นเดือนเราทำอะไรลงไปวะเนี่ย อันหลังๆไม่ใช่นะครับแต่ก็ประมาณนั้นแหละ เอาเป็นว่ามันเป็นคอร์ดที่ ต้องการที่พักพิงนั่นแหละครับ พอเล่นคอร์ดนี้เสร็จคอร์ดต่อไปมันต้องมีเป้าหมาย chord target อะไรซักอย่าง มีอยู่เพื่อเป็นการปูเรื่องไปคอร์ดอื่นๆ
ตัวอย่าง เช่นคีย์ C คือ F(คอร์ด 4) กับ Dm(คอร์ด 2) สองคอร์ดนี้มี function คือ Subdominant
F คือ Subdominant เลย
แต่ Dm ก็เป็นคอร์ด ที่คล้ายๆ F เพราะมี f กับ a คอร์ด/
มีอีกชื่อเรียกว่า Supertonic (คอร์ด 2)
Dominant
สุดท้ายนะครับ Dominant ถ้าไอสองอันนั้นคือ วันอาทิตย์กับวันจันทร์ ไอนี่คือวันศุกร์เลย คือไม่ไหนละร่างกายต้องการวันเสาร์ คือทำยังไงก็ได้ ให้เราออกไปจากตรงนี้ เป็นคอร์ดที่แบบ เห้ยจะไปละนะ ลงเตียงละนะ จะไปหาคอร์ด 1 และนะ อารมณ์ประมาณนั้น มันคือคอร์ดที่เป็นตัวส่งไปยังยังคอร์ดหลักหรือก็ส่งไปหาคอร์ด 1นั่นเอง สังเกตได้ว่าในเพลงตลาดทั่วไปมักจะใช้คอร์ด 5 เพื่อเข้าหาคอร์ด 1 ประมาณ 80 %
คอร์ด 5 หรือ G7 กับคอร์ด 7คือ Bdim หรือ Bm7b5
ก็ครับสุดท้ายนี้ก็ขอบคุณบทความหลักจาก
https://theproaudiofiles.com/wondrous-world-chords-part/?fbclid=IwAR1CGAB_PsaiURBZ-03B9qdWWES3UUGoR_DJl1G4NNq6VEjyI607RMRA8N8
นามปากกา Uncle Sam
Commentจากผู้เรียนกับเรา : https://www.facebook.com/mrarranger/photos/a.1473170442703232/1473170469369896/?type=3&theater
ติดต่อพร้อมโปรโมชั่นพิเศษได้ที่ ? Line@ : @mrarranger
? Line : https://line.me/R/ti/p/%40mrarranger
☎️ โทร 094-5653266,096-1926592
#mrarranger #musicprodution #Launchpad #โปรแกรมLogic #โปรแกรมFLstudio#สอนออนไลน์ #คอร์สเรียนออนไลน์ #ทำเพลง#สร้างเพลง #สอนทำเพลง #Logic #Cubase #AbletonLive #คอร์สเรียน#เพลง #LogicProX #LogicPro #StudioOne #Protools