สิ่งแรกนั้นคือ การรู้จักหน้าที่ของ Compressor
Compression มีหน้าที่ทำให้คลื่นเสียงเล็กลงหรือหนาขึ้น ความหนาของเสียงมีผลที่จะทำให้เสียงถูกผลักออกมาจากลำโพงได้ดียิ่งขึ้น การที่คลื่นเสียงถูกทำให้เล็กลงนั้นทำให้Mix มีพื้นที่สำหรับเสียงอื่นๆอย่างเช่น Reverb หรือ เอฟเฟคต่างๆ โดยที่ไม่ฟังดูรกจนเกินไป Mix ที่ดีจะมีบาลานซ์ที่ดีระหว่าง Compression, EQ, Level และ เอฟเฟค แต่ในทางกลับกัน Mix ที่ถูก Compress จนมากเกินไปนั้นจะมีเสียงที่บางและแบน ส่วน Mix ที่ Compress น้อยเกินไป ก็จะฟังดูไม่มี Dynamic และดูไม่มีความชัดเจน
2) คุณจะใช้ Compressor ทำอะไร
บางคนจะใช้ Compressor แทบจะกับทุกๆสิ่ง แต่บางคนจะใช้ Compressor กับบางอย่างเพียงนิดเดียวเพื่อให้ได้เอฟเฟคนิดหน่อย จุดตรงกลางคือ บาลานซ์ ที่จะเก็บ Natural dynamic ของเพลงเอาไว้และยังคงเพิ่ม Focus ให้กับเพลง
3) สัญญาณเตือนของการ Compress มากเกินไป
การ Compress มากเกินไป จะทำให้ Mix ไม่มี depth (ความลึก) หรือ Dynamic มันจะทำให้ Mix ฟังดูเหมือนโดนบีบ และจะได้ยินอย่างชัดเจนในย่านเสียงที่ต่ำ ย่านเสียงที่ต่ำนั้นต้องการการเคลื่อนไหวของ Dynamic มากกว่าย่านอื่น เพราะว่ามันมีเสียงSustain จากเสียงอื่นๆ และเป็นฐานของย่านเสียงสูง โดยธรรมชาติ เสียงย่านต่ำจะมี Dynamic ที่ต่ำอยู่แล้ว ถ้า Transient ไปกระตุกตัว Compression มากเกินไปจะทำให้ สัญญาณ Sustain ถูกลดลงไปอีก
4) สัญญาณเตือนของการ Compress น้อยเกินไป
เวลาเรา Compress น้อยเกินไป จะทำให้ เสียงดูไม่มีความชัดเจน และแต่ละส่วนใน Mix จะดูปนกัน ยิ่งใน Mix มี Tracks มากเท่าไร มันก็ยิ่งยากที่จะทำให้เสียงของ Track เหล่านั้นแยกออกจากกัน Compression สามารถทำให้แต่ละ Track มี Dynamic ที่ชัดเจนขึ้นได้ การที่ Dynamic range กว้างเกินไป จะทำให้โน๊ตถูกเสียงอื่นๆทับได้ เราสามารถสังเกตุได้ ว่า Mix นี้ถูก Compress น้อยเกินไป เมื่อ Mix ฟังดูดีแค่ตอนที่เราเปิดลำโพงให้ดังขึ้นมาก เพราะลำโพงจะเพิ่ม Driver Compression กับ Acoustic Compression เข้ามาแทนพื้นที่ๆขาดไป เมื่อลดเสียงลง บาลานซ์ของ Mix ก็จะค่อยๆหายไป ลองสังเกตุเสียงที่หายไปอย่างรวดเร็วเวลาลดเสียงของลำโพงลง ย่านเสียงที่ต่ำมักจะหายไปเร็วกว่าย่านอื่นเสมอ
5) Balance ให้ดี
Compressor แต่ละรุ่นแต่ละแบบมีหน้าที่ของมัน มันสามารถ Balance Dynamic โดยรวมได้ หรือ ทำให้เสียงมีความหนักแน่นขึ้น หรือใช้เป็น Special Effect, Compressor มี 4 หน้าที่หลักๆดังนี้
-Transparent Compression: มีผลกับ Dynamic โดยรวม มักจะเน้นไปที่สัมผัสได้มากกว่าได้ยิน ส่วนมาก Attack กับ Threshold จะค่อนข้างช้าและ Threshold ที่ต่ำ และ Ratio ที่น้อย Gain Reduction จะค่อนข้างคงที่
-Groove-based Compression: หรือที่รู้จักกันว่า Pump และ Breathe Compression, Release time จะขึ้นอยู่กับ ตัวโน๊ต (1/4 1/8 หรือ 1/16 ของตัวโน๊ต) ให้ความรู้สึกว่าเอฟเฟคเคลื่อนไหวไปกับจังหวะ
-Solidifying Compression: จะเป็นตัวเพิ่มความหนาและความชัดเจนมาสู่ Mix อย่างเช่น cla-2A, Fairchild 670 หรือ Teletronix LA2A ที่จะมี Release ให้เลือกหลายขั้น ส่วนมากมี Attack time อยู่ที่ 1 ms และสามารถเพิ่ม Harmonic Distortion ได้ด้วย
-Compression for Effect: บางครั้งคุณอยากจะให้ Compression มันชัดเจนจริงๆ ก็ต้องไปเน้นพวก Overdrive ตัว Compressor, Preamp หรือ Tape emulation หรือ Distortion ยิ่งคุณเพิ่ม Level เข้าไปในเสียงเกินกว่าที่มันจะรับได้ นั้นก็จะทำให้เกิด Limit บนตัว Dynamic range
6) Setting
Attack- Attack ที่เร็วจะทำให้เสียงไปอยู่ที่ด้านหลังของ Mix ส่วน Attack ที่ช้าก็จะทำให้เสียงมาโผล่ที่ด้านหน้า นั้นก็เพราะว่า Attack ที่เร็วมันไปตัด Transient ของเสียง และจะยิ่งได้ยินชัดในพวก กลอง และ Percussion การปรับเปลี่ยน Attack time สามารถทำให้ Mix มีความลึกได้ แต่ในอีกทางนึง การที่เรามี Attack Time ที่เหมือนกันสำหรับเครื่องดนตรีชิ้นเดียวอย่างกลองชุดก็ทำให้ฟังดูเหมือนมันเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันได้
Fast Attack – 0-1 ms (แทบจะตัด Transient ออกหมด)
Medium Attack- 1-10 ms (Transient จะสั้นและแหลมขึ้น)
Slow Attack- 10-100ms (ทำให้ Transient มีความอุ่นขึ้น)
Release – จะเป็นตัวบ่งบอกว่าเสียงจะกลับมาหลังจากถูก Gain Reduction ไปเร็วเท่าไร การมี Release ที่เร็วจะเพิ่ม Dynamic presence ให้กับเสียง Medium Release น่าจะเป็นบาลานซ์ที่ดีที่สุดเพราะมันทำให้ Release ทำงานตามจังหวะเพลง สำหรับกลองควรมี Release ที่คล้ายกันเพื่อให้มันฟังเป็นชิ้นเดียว และใช้ Release time ที่นานสำหรับเสียงที่มี Dynamic range ที่กว้าง
Fast Release- 0-100 ms (สร้างการเคลื่อนไหวให้ Dynamic และ Presence)
Medium Release- 100-500 ms (Sustain ตามRhythm ของเพลง)
Slow Release- 500ms – 20s (เพิ่มความอุ่นและบาลานซ์)
Ratio- มีไว้สำหรับ Balance Gain Reduction และปรับโทนของเสียง ใช้Ratio น้อย สำหรับ Compression บางๆ ยิ่ง Ratio เพิ่ม ยิ่งได้ความอุ่น Ratio หนักๆ จะเหมาะกับเสียงที่ไม่มีความหนาและไม่มีความชัดเจน
Light Ratio: 1.1:1 – 2:1 (เอฟเฟคน้อยสุด)
Medium Ratio: 2:1-8:1
Heavy Ratio: 8:1-20:1
Limiting Ratio 20:1-∞:1 (เอฟเฟคมากสุด)
Threshold- เราควรจะปรับ Threshold พอที่จะให้ Transient มันกระตุก Compression เท่านั้น แต่ถ้า Transient ไม่สม่ำเสมอก็ให้ Set Threshold ต่ำลง และปรับ Ratio ให้ต่ำด้วย เพื่อให้ได้ Gain Reduction ที่สเถียร พวก Vintage Compressor จะมีปุ่ม Input ซึ่งหมายถึงจะมีสัญญาณผ่าน Thresholdมาเท่าไร
7) ลองผิดลองถูกและฝึกฟังดู
มันสำคัญมากที่เราจะลอง Settings ต่างๆและดูว่าอันไหนทำงานกับ Mix ของเราได้ดีที่สุด ถ้าคุณตัดสินใจจะใส่ Compression หนักๆลงไปใน Track หรือ Group ของเครื่องดนตรี ลอง Send มันไปที่ Compression Aux แทนสิ เพราะอย่างนั้นคุณจะสามารถควบคุม Wet/dry ได้ง่ายขึ้น
Mr arranger
###############
•หากคุณประสบปัญหาเกี่ยวกับเรื่องMixing
??????
#คอร์สเรียนออนไลน์Mixing
https://facebook.com/commerce/products/1163751163742506

#คอร์สเรียนออนไลน์Mastering
https://facebook.com/commerce/products/1528185163919110
* #คอร์สเรียนออนไลน์แต่งเพลงยังให้ได้ 1,000,000 วิว ????
https://facebook.com/commerce/products/1319294784805340
#คอร์สเรียนทำเพลงออนไลน์สำหรับมือใหม่
https://facebook.com/commerce/products/1082990461773898/
#คอร์สLogicProXออนไลน์
https://facebook.com/commerce/products/1458398944187816/
#คอร์สเรียนEDM
https://facebook.com/commerce/products/1506778866109311/
————————–————-
Best Witiwat : Mr arranger Team
ดู Link เพิ่มเติม : https://www.waves.com/tips-to-avoid-over-compressing-your-mix
——————————————
ติดตามข่าวสารและโปรโมชั่นพิเศษได้ที่
Line@ : @mrarranger
Line : https://line.me/R/ti/p/%40mrarranger
www.Mrarranger.com
โทร 096-1926592,094-5653266,091-4428924
#mrarranger #musicprodution #โปรแกรมLogic#โปรแกรมFLstudio #สอนออนไลน์ #คอร์สเรียนออนไลน์#ทำเพลง #สร้างเพลง #โรงเรียนสอนทำเพลง#โปรแกรมAbletonLive #Logic #Cubase #รับผลิตเพลง #อัดร้อง #เพลงโฆษณา #รับทำเพลงทุกรูปแบบ#เรียนทำเพลง #อัดเสียง