จากพี่เนติ ผ่องพุทธคุณ เป็นนักแต่งเพลงอิสระและคอลัมนิสต์ นิตยสาร The Guitar Mag จะมาแบ่งปันความรู้ ความเข้าใจในศาสตร์ของการเขียนเพลง การใช้ภาษาไทยให้ยึดโยงไปกับเมโลดี้ ให้ออกมาเป็นเพลงกันครับ
ดูเผินๆ อาจเป็นเรื่องที่ไกลตัวจากสาขาความรู้ในเพจนี้ เพราะส่วนใหญ่จะเน้นไปที่เรื่องการทำดนตรี การเรียบเรียง การวนเวียนอยู่กับฮาร์ดแวร์,ซอฟแวร์ และปลั๊กอินมากมาย แต่จริงๆแล้ว การเขียนเนื้อเพลงเป็นเรื่องใกล้ชิดติดปลายจมูกของคนทำเพลงเลยก็ว่าได้ ว่ากันว่า มันคือ ต้นน้ำของทุกๆอย่างในธุรกิจดนตรี ไม่ได้จะมาบอกว่าใครบิ๊กเบิ้มกว่าใคร แต่จะบอกว่าถ้าไม่มีตัวเพลง เนื้อร้อง/ทำนอง ซะอย่าง ไม่มีทางที่งานจะกระโดดไปถึงขั้นตอน เรียบเรียง มิกซ์ดาวน์ และมาสเตอริ่งได้เลย
ถ้าพี่ๆน้องๆที่อ่านมาถึงตรงนี้ ยืนยันว่า ฉันขอนั่งทะเลาะกับเมาส์ (เมาส์ = อุปกรณ์ที่ใช้ในการควบคุมตัวชี้บนจอคอมพิวเตอร์)และคอมพิวเตอร์อย่างเดียว ไม่ขอเอี่ยวเรื่องอื่นๆ ก็ไม่มีปัญหาอะไรครับ แต่ถ้าคุณรู้สึกว่า นี้คือสิ่งที่ติดค้างอยู่ในใจ ที่อยากจะเข้าใจมันให้ถ่องแท้ จะได้ไปแก้เนื้อเพลงที่ไอ้นักร้องมันเขียนมา หรืออยากปีนกำแพงความกล้า ขึ้นงานด้วยตัวเองให้ได้สักที หรือแค่อยากเข้าใจว่าไอ้เนื้อเพลงที่ดีมันเป็นยังไง เวลาคนเขียนเนื้อเพลงมาส่งเรา จะได้รู้ทัน ไม่โดนฟันหัวแบะ….ต้องติดตามเลยครับ
เพราะนี้คือโลกอีกใบที่อาศัยฮาร์ดแวร์เพียง แค่ “กระดาษ-ปากกา และสายตาแห่งจินตนาการ” โลกที่คุณจะได้รับใช้พ่อขุนรามคำแหง แบบเต็มๆ
ทำดนตรีมาแทบตาย แต่มาวอดวายเพราะเรื่องเนื้อเพลง ผมว่าไม่ไหวนะ วันนี้เรามาทำความเข้าใจกันคร่าวๆก่อนดีไหมครับ ว่าการแต่งเพลง – การเขียนเพลง มันคืออะไร มีขอบเขตแค่ไหนและต่างกันอย่างไร
เนื้อร้อง / ทำนอง / เรียบเรียง
คำสามคำ ที่เห็นกันจนชินตา ตั้งแต่ยุคกางปกเทป จนถึงยุคถ่างหน้าจอรอยูทูป บอกทุกสิ่งทุกอย่างไว้หมดแล้ว
ต้องขออภัยเพจ Mr Arranger ไว้ก่อนนะคร้าบเพราะเราจะตัดเรื่อง เรียบเรียงออกไปก่อนเลย 55 เพราะน่าจะเป็นเรื่องของการ “ทำดนตรี” ทำซาวด์ หรือเรียกให้เห็นภาพ คือ “การห่อ” เพลงซะมากกว่า (ไม่เห็นด้วยประการใด ขออภัย อย่าซีเรียสกันเน้อ)
ฉะนั้นเราจะมาเน้นหนักกันที่ เนื้อร้อง/ทำนอง ซะมากกว่า เพราะ สองตัวนี้ คือความหมายของคำว่า “ตัวเพลง” อย่างแท้จริง เรื่องของลิขสิทธิ์ กรรมสิทธิ์ การเป็นเจ้าของเพลง ว่ากันแค่สองตัวนี้เท่านั้นครับ แบ่งตังค์มา ก็รับกันแค่สองคนนี้ จะฟ้องร้อง ก็ฟ้องกันแค่ตรงนี้ คนทำดนตรี…ม่ายเกี่ยวววว เรื่องของเนื้อร้อง/ทำนอง จะเป็นคนสองคนแบ่งงานกันทำก็ได้ หรือจะเป็นคนๆเดียวกันทำ ก็มีให้เห็นอยู่เรื่อยๆ แล้วแต่ความถนัดมาแต่ชาติปางก่อน
1. เนื้อร้อง/ทำนอง มาพร้อมกัน ภาษาคนทำงานเค้าเรียก “เพลงดิบ” คือคนๆเดียว จับเครื่องดนตรีมาสักชิ้น หรือจะไม่จับเลยก็ได้ แล้วร่ายรำออกมา ทั้งเนื้อเพลงและเมโลดี้หรือท่วงทำนอง ไปพร้อมๆกัน โดยส่วนมากจะเน้นหนักไปทางเนื้อเพลง คำ หรือ คอนเท้นต์ที่ต้องการจะสื่อสารออกไปซะมากกว่าการเคลื่อนตัวของเมโลดี้ คนที่แต่งเพลงดิบแบบนี้ เรียกได้เต็มรูปากเลยว่า “นักแต่งเพลง” (Song Writer)
ข้อดี ของวิธีที่หนึ่ง หรือเพลงดิบ คืออะไรนะหรือ อย่างแรกที่ผมรู้สึกเลยก็คือ ครบถ้วนด้วยเนื้อหาสาระที่ต้องการจะสื่อ คิดเปล่าๆ ดิบๆมายังไง เยอะยาวแค่ไหน สามารถจับยัดได้ครบถ้วนตามใจปรารถนา อยากให้ประโยคฮิต- สำนวนฮอต หยอดลงตรงท่อนไหน ดิบได้เลยตามสันดาน ซึ่งนำมาด้วยข้อดีประการที่สองคือ เร็ว และงานเห็นภาพ ประมาณว่าขายไม่ขาย โดนไม่โดน ตอบโจทย์รึยัง ฟังปุ๊บรู้เรื่องเลย จัดกีต้าร์โปร่งกับแหกปากร้องมาอย่างเดียว เสียวไม่เสียว ก็พูดมา
วิธีนี้เหมาะกับเพลงที่เน้นขายเนื้อ ขายคอนเท้นต์ ขายคำโดน หรือที่เรียกว่าเพลง “ฮาร์ดเซล” หรือไม่ก็เหมาะกับเพลงโฆษณา เพลงองค์กรหรือที่เรียกทับศัพท์ว่า เพลง Corperate (“เพลงองค์กรหรือที่เรียกทับศัพท์ว่า เพลง Corperate”) หรือเพลงพิเศษตามวาระอะไรก็แล้วแต่ ที่มีคำคม คำขวัญ หรือประโยคบังคับที่ต้องลงในเพลงอยู่แล้ว วิธีนี้น่าจะเหมาะอย่างยิ่ง บรรยายมาซะน่าสนใจ แต่ช่องโหว่ใหญ่ๆของมันคืออะไร ในความคิดของผมนะครับ
ข้อเสีย คือ เมโลดี้มันจะไม่ค่อยเพราะ เนื่องจากไปยึดโยงกับเนื้อเพลงมากเกินไป เพราะภาษาไทยมีความเซ้นซิทิฟด้านวรรณยุกต์ คำสั้นยาวและการแบ่งวรรคตอนสูงงงงงงงง แตะนิด สะกิดหน่อย ไม่ได้เลย ความหมายเพี้ยน ร้องพังทันที เมโลดี้มันก็เลยไปไหนไม่ค่อยได้มากนัก และลองสังเกตเพลงของนักดิบเพลง เนื้อร้อง/ทำนอง ทั้งหลายดูสิครับ หลายๆเพลง หลายๆปีเข้า มันจะซ้ำ มันจะวน หากไม่เซียนจริง มันจะฟังดู ยัดๆ ฝืนๆ หรือไม่ก็เข้าตำรา “ร้อยเนื้อ ทำนองเดียว (ส่วนจะชอบไม่ชอบ อันนั้นแล้วแต่คนฟังเลยครับ ไม่มีผิดถูก)
2. แยกเนื้อร้อง กับ ทำนอง ออกจากกัน หมายถึงในการทำงาน เราจะแต่งเมโลดี้ก่อน แล้วค่อยลงเนื้อ ลงภาษากันตามทีหลัง โดยส่วนใหญ่จะเป็นคนละคนกัน คนที่ทำด้านเนื้อเพลง เรียกติดปากว่า “คนเขียนเนื้อ” หรือ “คนเขียนเพลง” (Lyricist) ว่ากันด้วยเรื่อง เนื้อเพลง อย่างเดียว ทำนองไม่เกี่ยว ฉะนั้นจึงต้องมีคนทำ ทำนอง มาให้โดยเฉพาะ เนื่องจากทำนอง คือ ที่อยู่ของเนื้อเพลง เนื้อเพลงจะอยู่เย็นเป็นสุขได้ ทำนองต้องแข็งแรง งานนี้เลยต้องพึ่งบุคคลที่เรียกว่า “Melody Master” มาปูทางให้ เป็นการแบ่งงานกันทำ เพื่อผลลัพธ์เป็นเลิศ
คนพวกนี้ จะทำเมโลดี้ขึ้นมาก่อน ให้ฟังได้อารมณ์ไพเราะ เหมือนฟังเพลงบรรเลง หรือ ฮัมเมโลดี้ออกมา เป็นภาษาอะไรก็ได้ มั่วๆไป ให้เหมือนเราฟังเพลงสากลแล้วชอบเลย ติดหูเลย ทั้งที่ไม่รู้ความหมาย อยากทำโมเดิร์น ร็อก แบบฝรั่งจ๋า ก็ฮัมเมโลดี้มา เป็นภาษาอังกฤษ อยากทำแนว J-Rock ก็ฮัมมาเป็นภาษาญี่ปุ่น คิดไม่ออกก็ยืมศัพท์จาก สารคดี… มาใช้บ้างก็ได้ อยากทำ Dance แบบ K-pop อารมณ์ 2ne1 ก็แรป มั่วๆมาเป็นภาษาเกาหลี อะไรก็ว่าไป แบบนี้ คนเขียนเนื้อ ชอบเลยครับ จินตนการ ต่อเป็นเนื้อไทยได้อารมณ์เป็นอย่างยิ่ง
ข้อดีคงไม่ต้องพูดถึงแล้วนะ แต่ข้อเสียของมันหล่ะ
คนเขียนเนื้อมีปาดเหงื่อครับ !!! คือถ้าไม่เซียนจริง ไม่ได้รับการฝึกฝนอย่างเข้าใจ จับต้นชนปลายไม่ถูก ตีอารมณ์เพลงไม่ได้ เมโลดี้ระดับเทพแค่ไหน ก็เสียของละครับ
เปรียบเทียบกับเพลงดิบ คือ คิดคำ,ประโยคมา 10 สามารถยัดเองได้เลย 8-9 ตามใจฉัน แต่ถ้าเขียนเนื้อตามเมโลดี้ คิดมา 10 เอาลงโน้ตได้สักครึ่งนึง ก็ตบเข่าฉาดแล้วครับ
ส่วนตัวผมนะหรือ ใช้วิธีทำเมโลดี้ก่อน มาตลอดอายุราชการเลยครับ ผมรับสัมประทานเป็นคนเขียนเนื้อ (ไม่ใช้นักแต่งเพลง) มายาวนาน 18 ปี แตะมือกับ Melody Maker มาแทบจะทั้งวงการ
คอนเฟิร์มเลยว่าวิธีนี้…กดว้าวได้เลย
…………………………………………………………..
บทความโดย : Luigi Lui (พี่โน๊ต เนติ ผ่องพุทธคุณ)
ไม่รู้จะเริ่มต้นแต่งเพลงยั
คอร์สเรียนออนไลน์ M.R.G.9 #คอร์สเรียนออนไลน์แต่งเพลง
(สามารถเรียนได้ทั้งมือใหม่
https://facebook.com/