Share

Time signature ตัวล่างมีแค่เลขคู่จริงหรือไม่?

03/11/2019

สวัสดีครับวันนี้มาดูเรื่องไทม์ซิกกันนะครับตามหัวข้อที่เขียนไป หลายๆคนอาจจะเชื่อว่าไทม์ซิกที่เราใช้กันอยู่นั้นเลขตัวล่างมีเพียงเลขคู่ ซึ่งไม่จริงและเราจะมาดูเหตุผลกันครับว่ามันมีเลขคี่หรือเปล่าอาจจะยาวหน่อยครับ เริ่มต้นผมจะท้าวความไปย้อนไปซักนิดเพื่อความเข้าใจที่ถูกต้องเรื่องไทม์ซิกที่เราใช้ในปัจจุปันนั้นในการแบ่งฟอร์มของเพลงแบบ sectional form แบ่งได้เป็น7 ขนิดด้วยกัน คือ
simple,compound, mixed ,additive, fractional, irrational meters ซึ่งระบบการอ่านของไทม์ซิกคือ จะเขียนเป็นเลขเศษส่วน เพื่อระบุbeat (pusle)ใน1บาร์ และค่าของโน้ตที่เท่ากับ 1บีท พัฒนามาจากระบบการคิดของวัฒธรรมตะวันตกที่ส่งผลมาราวๆในศตวรรษ ที่ 12-13 rhythmic mode ซึ่งพัฒนาโดยนักแต่งเพลงชื่อ Pérotin (รูปที่2)
แห่งมหาวิหาร Notre-Dame ในช่วงศตวรรษที่ 11-12 ไอ้ rhythmic mode นี่ก็จะแบ่งความยาวออกเป็นแบบยาวและสั้น
ได้6แบบ คือ
1.สั้น-ยาว เรียกว่า iamb
2.สั้น-สั้น-ยาว ยาว เรียกว่า anapaest
3.สั้น-สั้น-สั้น เรียกว่า tribrach
4.ยาว-สั้น เรียกว่า trochee
5.ยาว-ยาว เรียกว่า spondee
6.ยาว-สั้น-สั้น เรียกว่า dactyl
7. ยาว ยาว ยาว ยาว ยาว
ล่ะว่า ยาว ยาว ล่ะว่า ยาว ยาว
เด้ออ้ายเด้อ เด้ออ้ายเด้อ
เด้ออ้ายเด้อ เด้อ เด้อ อ้ายเด้อ เรียกว่า molam

5555 ล้อเล่นครับ มี6 โมดนะ นั้นได้ส่งผลมาถึงดนตรีอินเดียในปัจจุบันด้วย ต่อมาท่าน Philippe de Vitry นักทฤษฏีดนตรี นักแต่งกลอนชาวฝรั่งเศษเริ่มใช้ การแบ่งโน้ตด้วยเศษส่วน 2:1 กับ 3:1 ซึ่งจะเริ่มมีการบันทึกโน้ตที่เรียกว่า Mensural notation(รูปที่ 3) ที่พัฒนาต่อมา ซึ่งมันก็มีวิธีการแบ่งออก 2 วิธี คือ ternary (3:1) และ binary (2:1)แบบที่กล่าวไปแล้ว หรือมีอีกชื่อในยุคนั้นว่า Major prolationและ Minor prolation

หรือการใช้มารตวัดโดยการแบ่งโน้ตเป็นส่วนๆนั่นแหละซึ่งจะมี4ขั้นในการแปลงร่างดู(รูปที่4) ซึ่งค่าโน๊ตสมัยก่อนเนี่ยยาวมากๆ คือ
1. maximodus เท่ากับแบ่งโน้ต maxima ออกเป็น 2 longa ด้วยวิธีแบบ major prolation และ3 longa ด้วยวิธี minor prolation
(plolation ได้กลายร่างเป็นเครื่องหมาย commontime ที่เรารู้จักในปัจจุบันครับ รูปที่5 )
2. Modus เท่ากับแบ่ง longa ออกเป็น 2 breve หรือ 3 breve(ตัวกลมดับเบิ้ล) ได้สองวิธีเหมือนเดิม
3. tempus เท่ากับแบ่ง breve ออกเป็น 2 หรือ 3 semibreve(ตัวกลม) ด้วยสองวิธีเหมือนเดิม
4. Prolatio เท่ากับแบ่ง semibreve ออกเป็น 2 หรือ 3 minim(ตัวขาว) ด้วยสองวิธีเหมือนเดิม

รูปที่ 5

ดังนั้นตรงนี้คือหลักฐานว่าคนยุคก่อนหน้าเรานับเลขได้ทั้งเลขคี่และเลขคู่555 และนำมาแบ่งออกเป็นเศษส่วนในชีวิตประจำวัน รวมถึงจังหวะของดนตรีที่ร้องกันในโบสถ์ของยุคนั้น แบ่งออกมาก็จะกลาย ไทม์ซิกในปัจจุบันดังภาพ จะเห็นว่ามันมีเลขคี่มานานมากโขอยู่แล้วคือเลข 1 นั่นเองครับ แต่ยังมีเหตุผลอื่นๆอีก
ซึ่งต่อมาส่วนที่นิยมใช้กัน มากก็คือ 2:1 พร้อมกับ ที่วิธีคิดแบบ Dyadic rational มีอิทพลมากขึ้นในสังคมมนุษย์ทั้งหมด โดยแบ่งออกเป็นคู่ เช่น คู่รัก คู่ตรงข้าม ขาว ดำ ดีเลว บลาๆๆๆ ฮิตมากๆจนมันกลายเป็น pop culture ไปในที่สุด เหมือนกับสำเนียงของ Ionianและ Aeolian ที่ฮิตมากจนกลายเป็นสเกลหลักในที่สุด เราก็เลยใช้แบบนี้กันมา แต่ไอ้วิธีคิด 3:1 เนี่ยมันก็ไม่ได้หายไปใหนแต่กลายเป็นไม่ค่อยฮิตแทนนะ ซึ่งปัจจุบันก็กลับมาในจังหวะในรูปแบบสามพยางค์เจ้า 3 :1 นี้ก็กลับมา ในรูปของค่าโน๊ตtuplet นั่นเองครับ
ที่นี้มาเข้าที่ไทม์ซิกที่ ใช้กันบ่อยในปัจจุบันที่ใช้บ่อยก็คือ simple กับcompound
simple ก็คือไทม์ซิกที่โน้ตย่อยมันหารสองลงตัว เช่น 2/4,4/4,3/4ก็ด้วย
compound ก็คือที่โน้ตย่อยมันแบ่งเป็น 3:1 ที่ว่าไปเมื่อกี้ไง
ต่อมา complex ก็เป็นไทม์ซิกที่ต้นพบได้ไม่นานเป็นชีพจรจังหวะ แบบที่พบได้ในตนตรีสเปน และนำมาใช้ในดนตรีตะวันตกในภาพหลัง เช่น 5/4,7/4 ลองไปเคาะเพลง mission impossible ดูครับ

อันที่ 4 mixed meter หรือimperfect meter การผสมไทม์ซิกกหลายๆแบบเข้าด้วยกันเช่นดนตรี โปรเกรสซีพ หรือเพลงของ Mussorgsky
ต่อมาอีก อันที่ 5 Additive meters เช่น (2+4+6)/8 (3บีท)ก็คือไทม์ซิกที่มีบีทยาวไม่เท่ากันนะครับจะระบุไว้โดยผู้แต่งเพลงนั้นๆ ซึ่งมันอาจจะยาวเท่ากับ meter อื่นที่กล่าวมาแล้วข้างต้นได้ เช่น 4/4 (4บีท)แต่1 บาร์ประกอบด้วยบีทที่ไม่เท่ากันนั่นเองครับ
อันที่ 6 fractional meter อันนี้ค่อนค่างพบเห็นได้ยากครับ คือจะระบุเลขตัวบนของ ไทม์ซิกออกเป็นเศษส่วนอีกที เช่น (3 + 1/2)/4 ก็คือ 3 กับอีกครึ่งบีทอ่านแบบนี้ครับ

อันที่7 สุดท้ายพระเอกของเรา Irrational meters เจ้า 3 :1 มันกลับมาแล้วครับหลังจากหายไปนาน ซึ่งการแบ่งจังหวะ ตัวล่างเป็นแบบ Non-Dyadic rational หรือง่ายๆก็คือ แบ่งออกเป็นคี่แทน ซึ่งจะเขียนยังไงหละที่นี้ ในเมื่อทั้งโลกเขาใช้ระบบแบ่งคู่แบบ Dyadic rational กันหมดแล้ว ง่ายที่สุดก็คือการอ้างโดยเทียบกับระบบ Dyadic rational ครับ ด้วยการใช่เลขระบุพยางค์หรือ ratio เช่น 4/3 ก็คือ มี4บีทตัวบน แต่1บีทเท่ากับ 3/4 หากโน้ตตัวล่างเป็น 4 ที่เท็มโปเท่ากัน(ดูรูปที่ 6) หรือหากคิดความยาวเป็น วินาทีแบบง่าย เช่น 1 บาร์เท่ากับ 12 วิ 1 บีท ของ 4/4 จะเท่ากับ 3 วิ (12%4 =3)
2บีทของ 4/3 จะเท่ากับ 4 วิ (12%3=4) 4บีทก็เท่ากับ 4*4 ได้ 16 วิ นำ 12 และ16 มาหา ครน จะได้ 48 เท่ากับว่า ไทม์ซิกทั้งสองแบบจะเจอกันที่ 48 วิ
หรือเมื่อ 4/4 เล่นไปจนคร บ 4 บาร์(12*4=48) หรือ 4/3 เล่นไปจนครบ 3 บาร์(16*3=48) ดูได้จากวีดีโอครับ ซึ่งเป็นเทคนิคของนักดนตรีนักแต่งเพลงกลุ่ม Minimal music อย่าง Steve Reich,Philip Glass และสาย New complexity อย่างFranklin Cox , Brian Ferneyhough นำมาใช้ใครสนใจเพิ่มเติมนำคำศัพท์ที่ผมพิมพ์ไว้ไปเสิร์จต่อในกูเกิ้ลได้เลยครับ

ใครที่อ่านมาถึงตรงนี้ก็ขอขอบคุณ
และจบเรื่องไทม์ซิกแบบมวยวัดไว้เพียงเท่านี้นะครับ
ฝันดี ราตรีสวัสดิ์ครับทุกท่าน

Boxer : Mr Arranger