การมิกซ์เพลงนั้นเหมือนกับการสร้างบ้านไพ่ แต่ละ “ใบ” ในกองไพ่ของมิกซ์นั้นมีความสำคัญในตัวเอง แต่ก็ต้อง Balance กับทุกอย่างอย่างพอดี การปรับแต่งคอมเพรสเซอร์หรือ EQ ผิดทางเพียงนิดเดียวอาจส่งผลเสียหายต่อทั้งกองได้ คุณยังต้องพิจารณาด้วยว่าส่วนไหนจะเป็นจุดเด่น ไม่ใช่ทุกองค์ประกอบที่จะดังเท่ากันและต้องการความสนใจเท่ากัน
วันนี้เราจะพาไปดูวิธีใช้ปลั๊กอินพื้นฐานอย่างคอมเพรสเซอร์ Saturation (การเพิ่มความอิ่ม) และ EQ รวมถึงเอฟเฟกต์ Reverb และ Modulation (การปรับแต่งเสียง) เพื่อสร้างมิกซ์ที่ Balance โดยจะใช้ Ableton Live ในการสาธิต
Step 1: Kick
เราจะเริ่มต้นกับเสียง Kick สิ่งแรกที่เราทำคือวาง EQ Eight ลงบนแทร็ก และลด high ลงประมาณ 10kHz ด้วยสโลปที่ยาวและเบา โดยลดลงนิดหน่อย ซึ่งจะช่วยให้เรามีพื้นที่ว่างสำหรับ hi-hat ละเราจะตัดเสียง sub ออกและเพิ่มบูสต์ที่ 70Hz เล็กน้อยเพื่อเน้นย้ำเบส
ถัดไป เราเพิ่ม compressor ด้วยปลั๊กอิน Tico ลงในเสียงคิก เราจะปรับความ Tightness เล็กน้อยโดยใช้การตั้งค่า Hydrogen เพื่อจัดการความบาง ต่อไปเราจะใส่ Carbon Contour เข้ามาอีกด้วย ซึ่งจะเพิ่มความอิ่มให้กับเสียงต่ำอย่างพอดีเพื่อให้รู้สึกกลมมากขึ้น
Step 2: Snare
ถัดไปคือ Snare เราไม่จำเป็นต้องยุ่งกับความถี่สูงมากนัก ดังนั้นเราจึงสามารถใช้ EQ Eight ของ Ableton Live เพื่อตัดเสียงแหลมที่ 15kHz ส่วนเสียงต่ำต่ำกว่า 90Hz ก็ตัดออกไปเลย เราจะเห็นว่าเนื้อเสียงส่วนใหญ่จะอยู่ที่ประมาณ 100Hz ดังนั้นเราจึงเพิ่มเสียงตรงนั้นเล็กน้อย
Step 3: Hi-Hats
ก่อนอื่น เราใช้ EQ Eight เพื่อตัดเสียงต่ำทั้งหมดที่ต่ำกว่าประมาณ 900Hz เรายังเพิ่มบูสต์ที่ 900Hz และตามด้วยที่ 15khz เพื่อให้เนื้อเสียงและความแหลมของเสียงไฮ-แฮตเด่นออกมา โดยใช้ TiCo เป็นตัวเพิ่มความอิ่ม เราเพิ่มเสียงแหลมที่โปร่งบาง ๆ โดยปรับประมาณ 20% ของการตั้งค่า Co Air
ต่อไป เรารู้สึกว่าเสียงไฮ-แฮตนั้นคมไปหน่อย ดังนั้นเราจึงใช้ Choral ของ Native Instruments ที่มีการตั้งค่า ensemble ให้มันนุ่มนวลขึ้น เราไม่ต้องใช้เอฟเฟกต์มากในขั้นตอนนี้ ดังนั้นเราจึงลด knob ของ Mix ลงเหลือ 20% ซึ่งเพียงพอที่จะเพิ่มเสียงบรรยากาศโดยที่ไม่ทำให้เสีย Transient มากเกินไป แล้วคุณจะได้เสียงไฮแฮตที่คมชัด
สุดท้าย เราแพนทั้งหมดไปทางขวาเล็กน้อย มีเครื่องดนตรีอยู่ตรงกลางมากมายในมิกซ์นี้พอแล้ว ดังนั้น การแพนเสียงบางส่วนเพื่อให้มี Space บ้าง
Step 4: Percussion
เราเริ่มต้นด้วย FabFilter Pro-Q 2 เราต้องการเน้นย้ำส่วนสำคัญของบองโก – เนื้อเสียงและเสียงตี โดย cut ทุกสิ่งที่ไม่จำเป็นออก การ cut อย่างเบามือต่ำกว่า 300Hz และสูงกว่า 10kHz ช่วยให้เสียงโฟกัสมากขึ้น ในขณะที่การ boost เล็กน้อยที่ 900Hz และ 3.3kHz ช่วยให้เสียงเพอร์คัชชั่นโดดเด่น
ถัดไปเป็นอีกตัวอย่างของ TiCo. เรายังไม่ได้ใช้ TiCo ในการคอมเพรสมากนัก เราพอจะสามารถใช้การควบคุม dynamics ได้บ้าง เราเลือกการตั้งค่า Nitrogen และบิดคอมเพรสชั่นไปที่ Tightness และเพิ่มขึ้นเป็น 30% ซึ่งจะทำให้เราได้เสียงที่อบอุ่นและกลม จากนั้นเราเพิ่ม Co Fire Contour ประมาณ 10% เพื่อเพิ่มพลัง ซึ่งเป็นสิ่งที่เราต้องการสำหรับมิกซ์ของเรา
มันยังโดดเด่นไม่พอ ดังนั้นเราจึงไปหาคอมเพรสเซอร์อีกตัวมาใช้ นั่นคือ Presswerk โดย u-he อัตราส่วนที่ต่ำ ให้มันทำงานเร็วพอสมควร และความอิ่มตัวช่วยให้บองโกมีชีวิตชีวา ยอมรับว่ามันเวอร์ไปหน่อย ดังนั้นเราจึงปรับ Mix กลับลงมาเพื่อให้ได้แบบ parallel compression
Step 5: Drum Bus
ตอนนี้เรามีองค์ประกอบของ Rhythm แต่ละอย่างพร้อมแล้ว ลองรวบรวมทุกอย่างไว้ในบัสเดียวและจัดการเป็นยูนิตเดียวกันดู เราเลือกสี่แทร็กและ Group พวกมันเข้าด้วยกัน ถัดไป เราวาง TiCo ที่ Duplicate ใหม่ไว้บนแทร็กบัสกลอง เราใช้การคอมเพรสเซอร์ Hydrogen แบบใสเพียงเล็กน้อย และประมาณ 20% ของ Cobalt Contour ซึ่งจะช่วยให้เสียงต่ำกระชับและเพิ่มเสียงแหลมเล็กน้อย เพื่อช่วยให้ทุกอย่างผสมผสานกัน
เรายังไม่พอใจกับเสียงบองโก ดังนั้นเราจึงเพิ่มตัวปรับแต่ง EQ แบบไดนามิกฟรีของ Tokyo Dawn Records, TDR Nova, ลงในแชนแนลของไฮ-แฮต เราสงสัยว่าอาจจะมีความถี่ที่ตีกันเกิดขึ้นในช่วงกลางที่นี่ เราใช้แชนแนลบองโกเป็นแหล่งสัญญาณ sidechain และตั้งค่า EQ เพื่อลดเสียงไฮ-แฮตตอบสนองต่อสัญญาณบองโกที่ 3.3kHz อย่างนั้นดีกว่า
สุดท้าย ลองใช้เซนต์ของเราเพื่อเพิ่มเอฟเฟกต์บางอย่าง เราจะใส่ Reverb พื้นฐานของ Ableton Live บน Send A ตั้งค่าเป็นพรีเซ็ทเสียงบรรยากาศ เราส่งเสียงไฮ-แฮตและบองโกไปยังส่วนนี้เพื่อช่วยให้พวกมันอยู่ด้วยกัน และเราจะส่งบองโกไปยัง Delay Eternity ของ Arturia เพื่อให้มันเล่นอย่างมีจังหวะ และส่งไปยัง Reverb Spring-636, ของ Arturia ด้วยเช่นกัน เพื่อให้บองโกฟังดูดีเสมอเมื่อผ่านสปริงรีเวิร์บ
