Share

ประวัติศาสตร์การบันทึกเสียง 150 ปี ตอนที่ 2: บันทึกเสียงยุคต้น เทคโนโลยี Wax Cylinder และ Gramophone Disc

หากคุณยังไม่ได้อ่านตอนที่ 1 สามารถอ่านได้ที่นี่:

ประวัติศาสตร์การบันทึกเสียง 150 ปี ตอนที่ 1. กำเนิดการบันทึกเสียง: ย้อนไปถึงโฟโนกราฟของ Thomas Edison | MRArranger

หลังจากที่ Thomas Edison ได้ค้นพบและประสบความสำเร็จกับ “โฟโนกราฟ (Phonograph)” เครื่องบันทึกเสียงชิ้นแรกของโลก ในวันสำคัญนั้นของปี 1877 แนวคิดและพัฒนาการการใช้งานจริงของเทคโนโลยีนี้ก็เริ่มถูกขับเคลื่อนต่อไปอย่างรวดเร็ว

หลังจากที่ Thomas Edison ได้ค้นพบและประสบความสำเร็จกับ “โฟโนกราฟ (Phonograph)” เครื่องบันทึกเสียงชิ้นแรกของโลก ในวันสำคัญนั้นของปี 1877 แนวคิดและพัฒนาการการใช้งานจริงของเทคโนโลยีนี้ก็เริ่มถูกขับเคลื่อนต่อไปอย่างรวดเร็ว

ในช่วงแรกๆ โฟโนกราฟยังคงเป็นสิ่งประดิษฐ์ที่ค่อนข้างบกพร่องและมีข้อจำกัดมากมาย โดยเฉพาะประเด็นของประสิทธิภาพการบันทึกและคุณภาพของเสียงที่ได้รับ Edison จึงต้องพยายามปรับปรุงและพัฒนาต่อยอดตลอดเวลา เช่นการเปลี่ยนวัสดุของแผ่นบันทึกจากฟอยล์เงินเป็นแผ่นหนัง หรือใช้แผ่นหนังกวางแทนที่ให้มีความคมชัดมากขึ้น

อย่างไรก็ดี อุปสรรคสำคัญอยู่ที่ข้อจำกัดของตัวเครื่องบันทึกเอง โฟโนกราฟมีขนาดใหญ่และหนักมาก ไม่สามารถบันทึกเสียงได้ติดต่อกันเกินกว่า 4 นาที เนื่องจากต้องใช้แผ่นเสียงที่ทำจากวงแหวนขนาดใหญ่ [1]

จุดเปลี่ยนสำคัญมาถึงในปี 1887 เมื่อนักประดิษฐ์ชาวเยอรมันชื่อ Emil Berliner ได้คิดค้นและจดสิทธิบัตร “กราโมโฟน (Gramophone)” หรือเครื่องบันทึกเสียงรูปแบบใหม่ที่แก้ปัญหาต่างๆ ของโฟโนกราฟได้หลายประการ โดยเฉพาะการใช้แผ่นแบนแทนแผ่นเสียงทรงกระบอก [2]

Emil Berliner ถ่ายภาพคู่กับ
“กราโมโฟน (Gramophone)”  

คำตอบสำหรับปัญหาเหล่านี้ก็มาในรูปของ “แผ่นเสียงหนัง (Wax Cylinder Recording)”

ซึ่งพัฒนาขึ้นมาโดยบริษัท Edison ในปี 1888 เป็นการบันทึกเสียงลงบนแผ่นทรงกระบอกเช่นเดิม แต่กลับมาใช้วัสดุที่เป็นหนังผสม จึงทำให้เสียงมีคุณภาพที่ดีขึ้นกว่าเดิมมาก รวมถึงสามารถบันทึกเสียงได้นานกว่าเดิมด้วย

กระบอกเสียงขี้ผึ้งของ Edison ได้รับความนิยมสูงมากในยุคแรกๆ ของอุตสาหกรรมบันทึกเสียง โดยมีทั้งแผ่นขนาด 2 หรือ 4 นาที สำหรับบันทึกเพลงสั้นๆ หรือที่เรียกว่า “บทเพลงเดี่ยว” และแผ่นขนาด 6 ถึง 20 นาทีสำหรับบันทึกเนื้อเพลงหรือเรื่องราวที่ยาวขึ้น นอกจากนี้ แผ่นหนังยังมีข้อได้เปรียบเรื่องการสามารถทำสำเนาซ้ำได้

คำตอบสำหรับปัญหาเหล่านี้ก็มาในรูปของ “กระบอกเสียงขี้ผึ้ง (Wax Cylinder Recording)” ซึ่งพัฒนาขึ้นมาโดยบริษัท Edison ในปี 1888 เป็นการบันทึกเสียงลงบนแผ่นทรงกระบอกเช่นเดิม แต่กลับมาใช้วัสดุที่เป็นหนังผสม จึงทำให้เสียงมีคุณภาพที่ดีขึ้นกว่าเดิมมาก รวมถึงสามารถบันทึกเสียงได้นานกว่าเดิมด้วย

Wax Cylinder Recording ของ Edison ได้รับความนิยมสูงมากในยุคแรกๆ ของอุตสาหกรรมบันทึกเสียง โดยมีทั้งแผ่นขนาด 2 หรือ 4 นาที สำหรับบันทึกเพลงสั้นๆ หรือที่เรียกว่า “บทเพลงเดี่ยว” และแผ่นขนาด 6 ถึง 20 นาทีสำหรับบันทึกเนื้อเพลงหรือเรื่องราวที่ยาวขึ้น นอกจากนี้ แผ่นหนังยังมีข้อได้เปรียบเรื่องการสามารถทำสำเนาซ้ำได้

กระบอกขี้ผึ้งสีน้ำตาลของเอดิสัน ปี 1899
The Wax Cylinder Recordings
Edison Wax Cylinder Phonograph Home Recording

ในปี 1901 บริษัทโคลัมเบีย กราโฟโฟน ก็ได้ออกอุปกรณ์เล่นเสียงขนาดใหญ่เครื่องใหม่ เรียกว่า “กราโมโฟน เเกรนด์ (Gramophone Grand)” ให้บริการตั้งแต่งานประชุมขนาดใหญ่จนกระทั่งงานคอนเสิร์ต สามารถเล่นได้ดังเสียงกังวานกระหึ่มห้อง
มีคนเรียกในชื่อ”กราโมโฟน บัลกอน (Gramophone Balcony)” ด้วยการได้ยินเสียงเบสหนักแน่นราวกับมีวงดนตรีอยู่บนระเบียงเหนือศีรษะนั่นเอง [4]

COLUMBIA GRAPHOPHONE GRAND (Type ‘GG’) ตัวอย่างรูป “กราโมโฟน เเกรนด์” จากโคลัมเบีย กราโฟโฟน

โคลัมเบีย กราโฟโฟน ยังผลิต “กราโมโฟน เเกรนด์” อีกหลายรุ่น เช่น Columbia Graphophone Model 100, Columbia Graphophone Model 200

ความนิยมของแผ่นเสียงหนังและกราโมโฟนก็เริ่มนำไปสู่การเติบโตของธุรกิจการบันทึกเสียงอย่างรวดเร็ว
เหล่าวงดนตรีและนักร้องชั้นนำจากทั่วทุกมุมโลกถูกนำมาบันทึกเสียงด้วยเทคโนโลยีใหม่ล่าสุดนี้
ขณะที่ธุรกิจจำหน่ายแผ่นเสียงและเครื่องเล่นเริ่มเฟื่องฟูขึ้นทั่วโลกตะวันตก

ในบุคคลสำคัญยิ่งที่มีส่วนสำคัญต่อความสำเร็จในยุคนี้คือ Fred Gaisberg เจ้าหน้าที่บันทึกเสียงชาวอังกฤษผู้เดินทางตระเวนบันทึกเสียงศิลปินทั่วโลก เขาเป็นคนแรกๆ ที่บันทึกเสียงดนตรีและวัฒนธรรมของมนุษย์ในดินแดนต่างๆ ทั่วโลก เช่นเพลงพื้นบ้านอินเดีย ดนตรีแบบดั้งเดิมจากภูมิภาคต่างๆ ของรัสเซีย และเสียงขับร้องตามพิธีกรรมจากหมู่เกาะผู้คนเผ่าต่างๆ เป็นต้น [5]

Fred Gaisberg
แผ่น Gramophone ของ Fred Gaisberg

มีการบันทึกเสียงที่น่าสนใจมากมายในยุคนี้ ตัวอย่างเช่น การบันทึกเสียงปาฐกถาแรกๆ ของวงการ โดย William Jennings Bryan อดีตรัฐมนตรีกระทรวงการต่างประเทศสหรัฐฯ ซึ่งเขาได้พูดผ่านกราโมโฟนถึงสาเหตุของสงครามกลางเมืองอเมริกา บันทึกเสียงในปี 1906 นอกจากนี้ในปี 1915 ก็เคยมีการบันทึกเสียงพระบรมราโชวาทของพระจักรพรรดินิโคไลที่ 2 ซึ่งเป็นพระจักรพรรดิคนสุดท้ายของจักรวรรดิรัสเซียด้วย [6]

รูปภาพนี้เป็นภาพถ่ายของ William Jennings Bryan
อดีตรัฐมนตรีกระทรวงการต่างประเทศสหรัฐฯ
รูปภาพนี้เป็นภาพถ่ายของสมเด็จพระจักรพรรดินิโคไลที่ 2
พระจักรพรรดิแห่งรัสเซีย พระจักรพรรดิคนสุดท้ายของจักรวรรดิรัสเซี

แต่กระแสหลักในยุคนี้คงต้องยกให้กับดนตรีและศิลปินระดับตำนานที่ถูกบันทึกเสียงไว้ครั้งแรกๆ
อาทิ พรานด์ เดอ ซาราซาเต้(Pablo de Sarasate) นักร้องชาวสเปนที่ร้องเพลง ‘Habanera’ จากโอเปร่าเรื่อง Carmen ได้น่าประทับใจอย่างยิ่งในปี 1904 หรือ เอนริโก คารูโซ่ นักร้องบาริโตนผู้โด่งดังของโลกที่ร้องเพลงต่างๆ ทั้งโอเปร่าและนาพอลิตัน ผ่านกราโมโฟนในปี 1902 โดยแผ่นเสียงของเขาได้รับความนิยมอย่างสูง ขายได้หลายล้านแผ่นทั่วโลก [7]

ความสำคัญของคารูโซในฐานะผู้บุกเบิกในการเผยแพร่ดนตรีระดับมวลชนผ่านแผ่นเสียงนั้นสูงมาก
หากใครมีโอกาสฟังแผ่นเสียงที่บันทึกเสียงของเขา จะต้องประหลาดใจกับความแจ่มชัดของเสียงร้องที่ยังรักษาคุณภาพไว้ได้ดีแม้เป็นเทคโนโลยีเมื่อร้อยปีก่อนก็ตาม ซึ่งเป็นผลอันเกิดจากความพยายามในการปรับปรุงเทคนิคเพื่อคุณภาพการบันทึกดีขึ้นเรื่อยๆ ของบรรดานักเทคนิคและวิศวกร [8]

Pablo de Sarasate เป็นนักไวโอลินและนักแต่งเพลงชาวสเปน เกิดในเมืองบิลเบา ประเทศสเปน เขาเริ่มเรียนไวโอลินตั้งแต่อายุ 8 ขวบ และแสดงครั้งแรกในที่สาธารณะเมื่ออายุ 10 ขวบ เขาเดินทางไปยังปารีสในปี ค.ศ. 1859 และศึกษาต่อกับคามิลล์ แซงต์-ซาอองส์
Enrico Carusoเป็นนักร้องโอเปร่าชาวอิตาลี เกิดในเมืองเนเปิลส์ ประเทศอิตาลี เป็นหนึ่งในนักร้องโอเปร่าที่โด่งดังที่สุดในประวัติศาสตร์ เขาเป็นที่รู้จักจากเสียงเทเนอร์ที่ทรงพลัง น้ำเสียงที่ไพเราะ และทักษะการแสดงที่ยอดเยี่ยม เขาแสดงโอเปร่าเรื่องต่างๆ มากมาย รวมถึง Carmen, Aida และ Rigoletto

ด้วยความสำเร็จอย่างมหาศาลในการทำให้เสียงกลายเป็นผลิตภัณฑ์ที่สามารถถ่ายทอดและเผยแพร่ไปทั่วทุกมุมโลกได้แบบนี้ กราโมโฟนและกระบอกเสียงขี้ผึ้ง (Wax Cylinder) จึงได้รับการขนานนามในฐานะ “ปาฏิหาริย์แห่งยุคสมัย” อย่างแท้จริง

ด้วยเทคโนโลยีใหม่นี้ เสียงและดนตรีไม่จำเป็นต้องจำกัดอยู่เฉพาะที่ใดที่หนึ่งอีกต่อไป แต่สามารถแพร่กระจายไปทั่วโลกอย่างรวดเร็ว สร้างปรากฏการณ์การรับฟังดนตรีอย่างกว้างขวางทั้งในระดับท้องถิ่นและระดับโลก

ผู้คนทั่วไปซึ่งก่อนหน้านี้ไม่มีโอกาสได้ยินเสียงดนตรีจากต่างแดน ก็สามารถเปิดรับและฟังได้ง่ายขึ้นจากแผ่นเสียงราคาถูก ขณะเดียวกันเสียงและบทเพลงจากดนตรีพื้นบ้านต่างๆ ก็ได้ถูกบันทึกและแพร่กระจายสู่สายตาชาวโลก สร้างการแลกเปลี่ยนทางวัฒนธรรมที่ไม่เคยปรากฏมาก่อน

ในด้านธุรกิจ การผลิตและจำหน่ายแผ่นเสียงก็เติบโตอย่างรวดเร็วราวกับดอกเห็ด มีบริษัทเพลงขนาดใหญ่เกิดขึ้นมากมาย ได้แก่ Victor, Columbia, Pathé เป็นต้น โดยมียอดขายแผ่นเสียงพุ่งสูงมหาศาลในทศวรรษ 1900 ถึง 1920 เรียกได้ว่าเป็นจุดเริ่มต้นของวงการบันเทิงระดับมวลชนยุคใหม่ [9]

สำหรับศิลปินเอง แผ่นเสียงก็กลายเป็นช่องทางสร้างรายได้และเผยแพร่ผลงานระดับมหาชนรูปแบบใหม่ กระแสนิยมศิลปินดารานักร้องต่างๆ จึงระบาดหนักหลังจากที่พวกเขาเริ่มออกแผ่นเสียงสู่ท้องตลาด ด้วยความสามารถในการทำซ้ำแผ่นเสียงได้จำนวนมาก การระบาดของบทเพลงฮิตจากแผ่นเสียงจึงกลายเป็นปรากฏการณ์แรกๆ ในยุคบุกเบิกของวงการบันเทิงสมัยใหม่

แม้ปัจจุบันเทคโนโลยีการบันทึกเสียงจะก้าวหน้าไปไกลมากจนพัฒนาเป็นระบบดิจิทัลได้แล้ว
แต่กราโมโฟนถือเป็นจุดเริ่มต้นที่สำคัญยิ่งของวงการนี้ มันเป็นตัวเปลี่ยนแนวคิดการรับชมและแบ่งปันเสียงดนตรีจากเดิมที่เคยเป็นเพียงกิจกรรมขนบประเพณีในท้องถิ่น กลายมาเป็นสินค้าทางวัฒนธรรมที่ผลิตและสร้างรายได้ได้อย่างมหาศาล

สำหรับแฟนเพลงปัจจุบัน พวกเขาอาจไม่ทราบมาก่อนว่าการซื้อแผ่นเสียงหรือไฟล์ดิจิทัลมารับฟังและสะสมกันนั้น มีต้นกำเนิดมาจากจุดเริ่มต้นเล็กๆ น้อยๆ เช่นเดียวกับโฟโนกราฟของ Edison และกราโมโฟนของ Berliner ที่ทำให้เสียงกลายเป็นสิ่งที่จับต้องได้และสามารถเก็บรักษาไว้ตลอดกาล แล้วค่อยๆ พัฒนาไปสู่อุตสาหกรรมมหึมาจนถึงทุกวันนี้

อ้างอิง:

[1] เว็บไซต์ Britannica.com บทความ “Sound Recording”
[2] เว็บไซต์ Smithsonianmag.com บทความ “How the Phonograph Changed Music”
[3] เว็บไซต์ Soundonsound.com บทความ “History of Recording Part 1”
[4] หนังสือ “The Phonograph and Its Birth” โดย Daniel L. Stationprasit
[5] บทความ “Fred Gaisberg’s Recordings of Music from Around the World”
[6] บทความวารสาร “Early Voice Recordings”
[7] หนังสือ “Enrico Caruso – A Biography” โดย Pierre V. R. Key
[8] บทความ “The Importance of Enrico Caruso in Sound Recording History”
[9] หนังสือ “Recorded Music in American Life” โดย William Howland Kenney