Share

วิธีทำเงินในฐานะนักดนตรี!

14/06/2021

การหาเลี้ยงชีพในฐานะนักดนตรีอาจจะดูยากและไม่แน่นอน แต่ก็มีเส้นทางที่พิสูจน์มาแล้วว่าประสบความสำเร็จทางการเงินในอุตสาหกรรมนี้ เราจะสรุปให้คุณว่า 6 วิธีที่คุณจะสร้างรายได้ในอุตสาหกรรมเพลง

เริ่มจากความมั่นใจ: มันเป็นไปได้ที่จะทำเงินและบางทีอาจเป็นอาชีพจากดนตรี

ศิลปินอย่าง U2, Metallica, Bruno Mars และ Ed Sheeran ทำเงินได้หลายล้านดอลลาร์ในแต่ละปีจากผลงานเพลงของพวกเขา และศิลปินอิสระอื่นก็เช่นกัน แต่พวกเขาทำมันได้อย่างไร? เราจะมาดูรายได้ที่ศิลปินที่ประสบความสำเร็จใช้เพื่อช่วยให้พวกเขาสามารถรักษาและเติบโตในอาชีพดนตรีได้ คุณจะได้เรียนรู้วิธีการหาและสร้างแหล่งรายได้เหล่านี้ด้วยตัวเอง

  1. ค่าลิขสิทธิ์ของการสตรีมมิ่ง

รายได้ของเพลงชั้นนำในสหรัฐฯ มีการเปลี่ยนแปลงอย่างมากตลอดเวลาที่ผ่านมาตามแต่ละรูปแบบของบริการ ในยุค 70 LP/EPs ครองอุตสาหกรรม แต่เมื่อเวลาผ่านไป เทป ซีดี และการดาวน์โหลดแบบชำระเงินได้รับความสนใจมาก และในปี 2020 การสมัครใช้บริการสตรีมมิ่งแบบชำระเงินคิดเป็น 57.7% ($7.0b) ของรายได้เพลงทั้งหมดที่ถูกบันทึกไว้สำหรับปีนั้นในสหรัฐอเมริกา ซึ่ง $9.99/เดือนที่คุณจ่ายให้กับ Spotify เป็นส่วนที่ทำให้เกิดมูลค่านี้

รายได้ของเพลงในสหรัฐอเมริกาตามแต่ละรูปแบบของบริการ ที่มาของภาพ: Recording Industry Association of America

เมื่อมีคนสตรีมเพลงของคุณผ่านบริการสตรีมมิ่ง เช่น Spotify, Apple Music, Tidal เป็นต้น คุณจะได้รับเงินจากบริการสตรีมมิงแต่ละบริการ จำนวนเงินที่คุณได้รับจะแตกต่างกันไปตามบริการสตรีมมิงนั้นๆ กำหนดไว้ ตลอดจนปัจจัยอื่นๆ เช่น ประเทศและสถานที่ตั้งของผู้ฟัง ไม่ว่าผู้ฟังจะสมัครรับบริการแบบชำระเงินหรือบัญชีฟรี อัตราค่าลิขสิทธิ์ของคุณ ตลอดจนราคาและสกุลเงินที่เกี่ยวข้องในภูมิภาคต่างๆ

ตามเครื่องคำนวณค่าลิขสิทธิ์ของ Ditto Music ซึ่งอิงจากตัวเลขในสหรัฐอเมริกา คุณสามารถเปรียบเทียบกันได้ว่าอัตราการจ่ายของบริการสตรีมมิ่งต่างๆ ต่างกันอย่างไร แต่โปรดทราบว่าตัวเลขเหล่านี้อาจไม่ตรงกับคำชี้แจงสิทธิ์ของคุณ 100% เนื่องจากปัจจัยหลายประการ

  • 1,000 YouTube Streams = $0.69
  • 1,000 Pandora Streams = $1.33
  • 1,000 Amazon Music Streams = $4.02
  • 1,000 Spotify Streams = $4.37
  • 1,000 Deezer Streams = $6.76
  • 1,000 Google Play Streams = $6.76
  • 1,000 Apple Music Streams = $7.35
  • 1,000 Tidal Streams = $12.50
  • 1,000 Napster Streams = $19.00

ตามข้อมูลที่แสดง คุณสามารถสร้างรายได้ตั้งแต่ 0.69 ถึง 19.00 ดอลลาร์ต่อ 1,000 สตรีม ขึ้นอยู่กับบริการสตรีมที่คุณอัปโหลดเพลงไป นอกเหนือจากอัตราการจ่ายเงินของบริการสตรีมมิงแต่ละบริการ คุณต้องพิจารณาจำนวนผู้ที่ใช้บริการสตรีมมิงแต่ละรายการด้วย มีกี่คนที่ใช้ Spotify เมื่อเทียบกับ Napster? แม้ว่า Napster จะจ่ายเงินต่อการสตรีมมากกว่า Spotify อย่างมาก แต่ Spotify มีสมาชิกที่ชำระเงินแล้ว 155 ล้านคน เทียบกับสมาชิกที่จ่ายเงินของ Napster ที่มีเพียง 3 ล้านคน ด้วยจำนวนสมาชิกบน Spotify มากกว่า 50 เท่า คงน่าจะมีคนฟังเพลงของคุณบนแพลตฟอร์ม Spotify มากกว่าผ่าน Napster แน่นอน

โชคดีที่คุณสามารถอัปโหลดเพลงของคุณไปยังบริการสตรีมเพลงได้มากกว่าหนึ่งบริการ ผู้จัดจำหน่ายเพลง เช่น DistroKid หรือ TuneCore ทำให้กระบวนการนี้ง่ายขึ้นมากสำหรับศิลปินอิสระ คุณามารถอัปโหลดเพลงของคุณไปยังแพลตฟอร์มออนไลน์ของผู้จัดจำหน่ายเพลง และส่งเพลงไปยังบริการสตรีมต่างๆ ในนามของคุณเอง ผู้จัดจำหน่ายทุกรายจะเสนอตัวเลือกการกำหนดราคาและสิทธิพิเศษเฉพาะ ดังนั้นโปรดศึกษาก่อนเพื่อพิจารณาว่าผู้จัดจำหน่ายรายใดจะตอบสนองความต้องการของคุณได้ดีที่สุด

2. ค่าสิทธิของผลงาน

เมื่อเพลงของคุณเผยแพร่ต่อสาธารณะ เช่น ทางวิทยุ (บนบกหรือผ่านดาวเทียม) ทางโทรทัศน์ (รวมถึงโฆษณา) การแสดงสด (โดยคุณหรือคนอื่น) ทางวิทยุอินเทอร์เน็ต (เช่น Pandora) และในสถานสาธารณะ (บาร์, ร้านอาหาร เป็นต้น) คุณสามารถสร้างรายได้ในรูปแบบของค่าลิขสิทธิ์การแสดง มากไปกว่านั้นธุรกิจต่างๆ ก็จะจ่ายค่าธรรมเนียมสำหรับใบอนุญาตแบบครอบคลุมให้กับองค์กรด้านการแสดงสิทธิ์ (PROs) เพื่อให้สามารถเล่นเพลงได้ของคุณได้ และ PROs ก็จะใช้ค่าธรรมเนียมใบอนุญาตเหล่านี้เพื่อจ่ายให้กับนักแต่งเพลงและผู้เผยแพร่ที่เป็นเจ้าของสิขสิทธิ์

PROs รายใหญ่สามรายในสหรัฐอเมริกา ได้แก่ ASCAP, BMI และ SESAC หากคุณอาศัยอยู่ในประเทศอื่น อาจมี PROs อื่นที่จะรวบรวมค่าลิขสิทธิ์ในนามของคุณ ตัวอย่างเช่น PROs ในแคนาดาคือ SOCAN PROs ระดับสากลจะทำงานร่วมกันเพื่อรวบรวมค่าลิขสิทธิ์การแสดงสำหรับนักแต่งเพลงและผู้เผยแพร่หากคุณปล่อยเพลงที่กลายเป็นเพลงฮิตทางวิทยุในเยอรมนี GEMA จะรวบรวมค่าลิขสิทธิ์การแสดงและส่งเงินเหล่านั้นไปยัง PRO ที่คุณได้ลงทะเบียนไว้ภายในประเทศของคุณ ในทางกลับกัน PRO ในประเทศของคุณก็จะทำเช่นเดียวกันกับนักแต่งเพลงและผู้เผยแพร่ชาวเยอรมันที่มีเพลงฮิตในประเทศของคุณ ทั้ง ASCAP, BMI และ SESAC ล้วนมีข้อตกลงระหว่างประเทศกับ PRO นอกสหรัฐอเมริกากันทั้งนั้น

หากคุณยังไม่ได้ลงทะเบียนกับ PRO และคุณก็มีเพลงที่ปล่อยไปแล้ว เป็นไปได้ว่าคุณอาจจะพลาดรายได้ของคุณ ตาม DIY Musician “ผู้เชี่ยวชาญด้านการเผยแพร่เพลงบางคนอ้างว่าจำนวนค่าลิขสิทธิ์ด้านการแสดงที่แจกจ่ายให้กับนักแต่งเพลงและผู้เผยแพร่ในแต่ละปีคิดเป็นสัดส่วนมากถึง 30-35% ของค่าลิขสิทธิ์การเผยแพร่ทั้งหมด – ดังนั้นจึงสร้างรายได้มหาศาลจาก ‘การแสดง’ หรือการออกอากาศและบทประพันธ์ของเพลงในที่สาธารณะ”

ASCAP, BMI และ SESAC ให้สิทธิประโยชน์ต่างๆ แก่สมาชิก ทั้ง ASCAP และ BMI เป็นทั้งองค์กรไม่แสวงหาผลกำไรที่เรียกเก็บค่าธรรมเนียมสมาชิก แต่จะมีค่าธรรมเนียมการสมัคร 50 ดอลลาร์สำหรับการสมัคร ASCAP ในฐานะนักแต่งเพลงหรือผู้เผยแพร่ หรืออาจจะมีค่าธรรมเนียมการสมัคร 100 ดอลลาร์สหรัฐฯ เพื่อลงทะเบียนกับ ASCAP ในฐานะนักแต่งเพลงหรือผู้เผยแพร่ คุณสามารถลงทะเบียนกับ BMI ในฐานะนักแต่งเพลงได้ฟรี แต่คุณต้องจ่าย 150 ดอลลาร์เพื่อสมัครเป็นผู้เผยแพร่ สำหรับ SESAC เป็นองค์กรแสวงหาผลกำไรที่เข้าร่วมได้ฟรี แต่ต้องถูกเชิญถึงเป็นสมาชิกได้ ASCAP และ BMI น่าจะเป็นสองทางเลือกหลักหากคุณอาศัยอยู่ในสหรัฐอเมริกา นอกจากนี้ หากคุณยังไม่มีบริษัทเผยแพร่เพลงให้กับคุณ ไม่ต้องกังวล ลองอ่านต่อไปเพื่อหาวิธีอื่น

3. ค่าลิขสิทธิ์ Mechanical Royalties

ทุกเพลงจะมีลิขสิทธิ์สองแบบติดมาด้วย ได้แก่ ลิขสิทธิ์การเรียบเรียงและลิขสิทธิ์การบันทึก การเรียบเรียงหมายถึงเพลงตามที่เขียนไว้ ซึ่งรวมถึงเนื้อเพลง โน้ตดนตรี ฯลฯ ในทางตรงกันข้าม ลิขสิทธิ์การบันทึกเกี่ยวข้องกับเวอร์ชันที่บันทึกไว้ของเพลง (ต้นแบบ) ที่เผยแพร่ หากมีเวอร์ชันที่บันทึกไว้ของเพลงหลายเวอร์ชัน เช่น การบันทึกในสตูดิโอและการบันทึกการแสดงสด ทั้งสองเวอร์ชั่นจะใช้ลิขสิทธิ์การเรียบเรียงเดียวกัน แต่จะมีลิขสิทธิ์การบันทึกที่แตกต่างกันสำหรับการบันทึกแต่ละอัน นักแต่งจะเพลงรับเงินจากลิขสิทธิ์การเรียบเรียง ในขณะที่ผู้แสดงดนตรีจะได้กำไรจากลิขสิทธิ์การบันทึกในเวอร์ชั่นต่างๆ

ตัวอย่างเช่น หากคุณเขียนเพลงตั้งแต่เริ่มต้นแต่งจนถึงบันทึกเอง คุณจะเป็นเจ้าของทั้งลิขสิทธิ์การเรียบเรียงและลิขสิทธิ์การบันทึก หากนักดนตรีคนอื่นบันทึกเพลงของคุณในเวอร์ชั่นของเขาเอง คุณจะเป็นเจ้าของลิขสิทธิ์การเรียบเรียงของเพลงที่พวกเขาบันทึก แต่พวกเขาจะเป็นเจ้าของลิขสิทธิ์การบันทึก ซึ่งหมายความว่าคุณจะได้เงินทุกครั้งที่มีคนบันทึกและเผยแพร่เพลงที่คุณเขียนในเวอร์ชันต่างๆ ที่คนอื่นบันทึก

PROs อย่าง ASCAP และ BMI จะไม่เก็บค่าลิขสิทธิ์ mechanical royalties เพราะเหตุนั้น คุณจึงต้องหันไปหาบริษัทเผยแพร่ที่มีระบบซึ่งจะเก็บค่า mechanical royalties ให้คุณแทน—บริษัทประเภทนี้มักจะเก็บค่าคอมมิชชั่นเล็กน้อยเพื่อดำเนินการบริการนี้ ปัญหาในการพยายามรวบรวมค่าลิขสิทธิ์ mechanical royalties ด้วยตัวคุณเองคือมีองค์กรสิทธิทาง mechanical royalties (MRO) ที่แตกต่างกัน 60 แห่งทั่วโลก และการพยายามจัดการ mechanical royalties ด้วยทุกองค์กรนั้นไม่สามารถทำได้จริง แต่จะง่ายกว่ามากถ้าทำงานกับบริษัทที่จะจัดการกับ mechanical royalties ในนามของคุณแทน บริษัทเผยแพร่ที่มีชื่อเสียงสองแห่ง ได้แก่ Songtrust และ Sentric—แต่คุณจะต้องสมัครกับเพียงบริษัทเดียว

อีกทางเลือกหนึ่งคือการใช้บริษัทเผยแพร่แบบค่ายเพลงที่ให้เปอร์เซ็นต์ค่าลิขสิทธิ์การเผยแพร่ของคุณไว้มากกว่า บริษัทเผยแพร่จะมีแผนกผู้ดูแลระบบและในหลายกรณี พวกเขาก็ใช้ Songtrust หรือ Sentric สำหรับผู้ดูแลระบบ ไม่ว่าคุณจะตัดสินใจลงทะเบียนกับบริษัทเผยแพร่เพลงแบบทั่วไปหรือบริษัทเผยแพร่เพลงแบบค่ายเพลง คุณสามมารถดำเนินการตามขั้นตอนที่จำเป็นเพื่อรวบรวมค่าลิขสิทธิ์ mechanical royalties ตามที่คุณต้องการ

4. ค่าธรรมเนียมใบอนุญาตการซิงค์

คุณคงเคยได้ยินว่าศิลปินได้จะรับเงินเป็นจำนวนมากเมื่อเพลงของพวกเขาถูกใช้ในรายการโทรทัศน์ ภาพยนตร์ หรือโฆษณา แต่วิธีนี้ได้ผลจริงหรือ? ผู้กำกับเพลงมักได้รับการว่าจ้างให้เข้าร่วมรายการโทรทัศน์หรือภาพยนตร์ และเป็นหน้าที่ของพวกเขาในการค้นหาเพลงที่เหมาะกับแต่ละฉาก เมื่อพวกเขาพบเพลงที่ต้องการใช้ พวกเขาจะติดต่อผู้เผยแพร่เพลงเพื่อขอใบอนุญาตการซิงค์ ใบอนุญาตนี้ทำให้พวกเขา “ซิงค์” เพลงกับภาพบนหน้าจอได้ ผู้เผยแพร่ที่ดีจะเจรจาต่อรองค่าธรรมเนียมการซิงค์ที่สูงสำหรับคุณ เนื่องจากผู้เผยแพร่ของคุณก็ได้รับค่าคอมมิชชันเช่นกันและจะทำประโยชน์กับพวกเขาสูงสุด ทุกครั้งที่รายการ/ภาพยนตร์ออกอากาศ คุณอาจมีสิทธิ์ได้รับค่าลิขสิทธิ์การแสดงเช่นกัน 

หากคุณไม่มีผู้เผยแพร่แบบค่ายเพลงที่จะอำนวยความสะดวกในการขายใบอนุญาตการซิงค์ให้กับคุณ คุณสามารถอัปโหลดเพลงของคุณไปยังคลังเพลงอย่างน้อยหนึ่งคลังเพลง เช่น PremiumBeat, Audio Jungle หรือ Artlist.io เว็บไซต์เหล่านี้เพิ่มเพลงของคุณลงในคลังเพลง ซึ่งครีเอเตอร์ (ผู้ใช้ YouTube, ผู้สร้างภาพยนตร์ ฯลฯ) สามารถดูได้เสมอ เมื่อครีเอเตอร์พบเพลงที่ต้องการใช้ พวกเขาจะจ่ายค่าลิขสิทธิ์เป็นรายเพลง หรือค่าธรรมเนียมสมาชิกที่ครอบคลุมค่าลิขสิทธิ์ ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับแต่ละเว็บไซต์ ระยะเวลาและขอบเขตของใบอนุญาตจะถูกกำหนดโดยเว็บไซต์นั้นด้วย

สมมติว่าคุณตัดสินใจที่จะอัปโหลดเพลงของคุณไปยังคลังเพลง คุณต้องพิจารณาว่าคุณจะอนุญาตให้สิทธิ์ใช้เพลงเฉพาะเว็บไซต์เดียว (exclusively) หรือจะอนุญาตให้สิทธิ์ในการใช้งานเพลงของคุณแบบไม่ผูกขาดได้หลายเว็บไซต์ (non-exclusively) ประโยชน์ของการอนุญาตให้ใช้สิทธิ์เพลงของคุณแบบจำกัด (exclusively) คือ คุณสามารถได้รับค่าตอบแทนที่สูงขึ้นจากเว็บไซต์ลิขสิทธิ์เพลงเดียว แต่ข้อเสียคือเพลงของคุณจะไม่ปรากฏในคลังเพลงจำนวนมาก ข้อดีและข้อเสียในการอนุญาตให้ใช้สิทธิ์เพลงของคุณโดยเฉพาะ  (exclusively) กับแบบไม่ผูกขาด (non-exclusively) คุณสามารถพิจารณาอนุญาตให้ใช้สิทธิ์เฉพาะ (exclusively) เพลงบางเพลงและบางเพลงแบบไม่มีสิทธิ์ขาด (non-exclusively) เพื่อลองดูก่อนได้

5. การทัวร์คอนเสิร์ต

เนื่องจากโควิด-19 อุตสาหกรรมคอนเสิร์ตในอเมริกาเหนือสูญเสียรายได้มากกว่า 3 หมื่นล้านดอลลาร์ในปี 2020 แต่ด้วยวัคซีนที่กำลังจะเปิดตัว ศิลปินจะสามารถเริ่มทัวร์คอนเสิร์ตได้อีกครั้งในบางเมือง ตามที่ Jem Aswad ได้กล่าวไว้ “ตัวเลขที่คาดการณ์ไว้กว่า 3 หมื่นล้านดอลลาร์นั้นรวมถึงเหตุการณ์ที่ไม่ได้รายงาน รายได้เสริม ซึ่งรวมถึงสปอนเซอร์ การออกตั๋ว สัมปทาน สินค้าที่ระลึก การเดินทาง ร้านอาหาร โรงแรม และกิจกรรมทางเศรษฐกิจอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องกับงานแสดงสด ตามรายงาน ” เนื่องจากเหตุการนี้ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนในปี 2020 เราจะมาวิเคราะห์ข้อมูลจากปีก่อนๆ จะได้ช่วยให้เห็นภาพได้ชัดเจนยิ่งขึ้นว่าการทัวร์คอนเสิร์ตมีสำคัญต่ออาชีพนักดนตรีของคุณอย่างไรเมื่ออุตสาหกรรมดนตรีมีเสถียรภาพ

ในปี 2018 ชาวอเมริกัน 52% เข้าร่วมชมคอนเสิร์ต และในปี 2019 การขายตั๋วดนตรีสดเพียงอย่างเดียวมีมูลค่า 22.94 พันล้านดอลลาร์ทั่วโลก จากรายงาน “2018 Money Makers” ของ Billboard วง U2 กลับบ้านไปหลังจากการทัวร์คอนเสิร์ตกับเงิน 54.4 ล้านดอลลาร์ในปี 2018 แต่พวกเขาทำเงินได้เพียง 2.4 ล้านดอลลาร์เท่านั้นจากงานที่บันทึกของพวกเขา; เงินส่วนใหญ่จ่ายโดย Joshua Tree Tour และ Garth Brooks กลับบ้านไปพร้อมกับเงิน 52.2 ล้านดอลลาร์ในปี 2018 โดยที่ 46.7 ล้านดอลลาร์มาจากการทัวร์คอนเสิร์ต 390 วันของเขา วงเมทัลลิกามียอดขายที่เยอะสุดๆ (8.7 ล้านดอลลาร์) รายได้จากการสตรีม (2.2 ล้านดอลลาร์) และรายได้จากการเผยแพร่ (1.6 ล้านดอลลาร์) ในปี 2018 แต่รายรับจากการทัวร์คอนเสิร์ตคือ 30.7 ล้านดอลลาร์ และเกือบเป็นสามเท่าของรายได้อื่นๆ รวมกันอีก จากรายงานของ Billboard การทัวร์คอนเสิร์ตถือเป็นส่วนสำคัญของรายได้ของศิลปินทั้ง 50 คน ซึ่งรวมกันแล้วมากกว่ารายได้จากการขายเพลงของศิลปินแต่ละคน รายได้จากการสตรีมมิ่งและรายได้จากการเผยแพร่รวมกันซะอีก

คุณสามารถจัดทัวร์เล็กๆ ด้วยตัวคุณเองโดยติดต่อผู้สนับสนุนในเมืองแถวๆ นั้นหรือติดต่อองค์กรขนาดใหญ่เพื่อดูว่าการทัวร์กับพวกเขาในฐานะวงเล่นเปิดเป็นไปได้หรือไม่ เมื่อเริ่มต้น คุณอาจทำเงินได้ไม่มากจากการทัวร์ แต่เป็นวิธีที่ดีในการทำให้ชื่อของคุณเป็นที่รู้จักและขยายฐานแฟนของคุณได้ด้วย

หากต้องการจัดทัวร์ขนาดใหญ่ คุณควรร่วมงานกับ booking agent พวกเขาจะรู้จักกับโปรโมเตอร์และสามารถใช้ประโยชน์จากศิลปินคนอื่นในบัญชีรายชื่อของพวกเขาเพื่อให้คุณจองได้ ตัวอย่างเช่น พวกเขาอาจจัดหาสถานที่ที่มีศิลปินชื่อดังในรายชื่อของพวกเขาโดยมีเงื่อนไขว่าคุณจะเล่นเปิดให้กับศิลปินนั้น โดยทั่วไปแล้ว booking agent จะเป็นคนติดต่อคุณเอง เมื่อคุณประสบความสำเร็จในระดับหนึ่งและพิสูจน์แล้วว่ามีคนสนใจเพลงของคุณมากพอ คุณก็จะเริ่มเป็นที่สนใจของ booking agent เอง

6. ขายของที่ระลึกของศิลปิน

การขายสินค้าช่วยให้คุณเพิ่มรายได้ขณะออกทัวร์ แฟน ๆ ที่เพิ่งดูคุณแสดงและชื่นชอบการแสดงของคุณ มักจะซื้อสินค้าของคุณ การตั้งร้านขายสินค้าออนไลน์ผ่านเว็บไซต์อย่าง Teespring นั้นเป็นเรื่องง่าย และจะช่วยให้คุณขายสินค้าในช่วงที่คุณไม่ได้ออกทัวร์ได้ ด้วย Teespring และเว็บไซต์อื่นๆ ที่คล้ายกัน คุณสามารถเลือกประเภทผลิตภัณฑ์ (เสื้อยืด เสื้อมีฮู้ด ฯลฯ) ที่คุณต้องการเพิ่มโลโก้ของคุณ จากนั้นแฟนๆ ก็สามารถสั่งซื้อสินค้าของคุณทางออนไลน์ได้ ข้อดีของการใช้ Teespring คือคุณสามารถขายสินค้าผ่าน TikTok, YouTube, Instagram และ Twitch ได้ Teespring ยังสามารถสั่งพิมพ์ตามต้องการได้ ซึ่งหมายความว่าคุณไม่จำเป็นต้องสั่งซื้อสินค้าล่วงหน้าและหวังว่าคุณจะสามารถขายได้ทั้งหมด แต่เมื่อมีคนสั่งเสื้อของคุณผ่าน Teespring บริษัทจะพิมพ์เสื้อและจัดส่งให้ตามจำนวนที่ถูกสั่ง

จากข้อมูลที่รวบรวมโดย atVenu สามอันดับแนวดนตรีที่มีการขายสินค้ามากที่สุด โดยเฉลี่ย $/คน ได้แก่ K-pop ($7.85/คน) ป๊อป ($6.83/คน) และฮาร์ดร็อก ($5.78 เหรียญสหรัฐฯ) ผ่าน atVenu ในปี 2019 จนถึงเดือนสิงหาคม และสามอันดับตลาดที่มีการขายสินค้ามากที่สุด โดยเฉลี่ย $/คน ได้แก่ เมืองซานอันโตนิโอ รัฐเท็กซัส (7.48 ดอลลาร์สหรัฐฯ) เมืองซอลต์เลคซิตี้ รัฐยูทาห์ (7.11 ดอลลาร์สหรัฐฯ ต่อคน) และออร์แลนโด รัฐฟลอริดา (6.88 ดอลลาร์/คน) ไม่น่าแปลกใจเลยที่สินค้าที่มียอดขายสูงสุดคือเสื้อยืดที่มีราคา 5, 111, 483 ดอลลาร์ โดยสินค้าขายดีอันดับต่อไปคือเสื้อฮู้ด ซึ่งมีราคา 531, 209 ดอลลาร์ เนื่องจากตัวเลขเหล่านี้มาจากยอดขายใน atVenu เท่านั้น โปรดจำไว้เสมอว่าแนวเพลง สถานที่ และประเภทผลิตภัณฑ์ที่คุณเลือกขายมีอิทธิพลต่อการขายสินค้าอย่างชัดเจนเมื่อคุณเริ่มทำสินค้าของคุณ

บทสรุป

ค่าลิขสิทธิ์การสตรีม ค่าลิขสิทธิ์ของผลงาน ค่าลิขสิทธิ์ mechanical Royalties ค่าธรรมเนียมใบอนุญาตการซิงค์ การทัวร์คอนเสิร์ต และการขายของที่ระลึกของศิลปิน เป็นเหมือนขนมปังและเนยที่ต้องคู่กัน—คุณสามารถเริ่มสร้างรายได้พวกนี้ได้ทันที ที่คุณต้องทำก็คือคุณสร้างบัญชีเว็บไซต์ที่แตกต่างกันสองสามบัญชีและใช้เวลาในการให้ข้อมูลที่จำเป็น เมื่อเช่นนี้ คุณจะยังรักษาอาชีพศิลปินในวงการเพลงของคุณให้นานขึ้นได้

Credit: https://www.waves.com/how-to-make-money-as-a-musician